วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

      มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์สังคมและต้องการการยอมรับจากทุกคนในสังคม การปรับตัวเข้าหากันจึงเป็นสิ่งจำเป็น ดังคำกล่าวที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” แต่หลายๆ ครั้ง เรามักจะเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่คล้อยตามไปกับสังคมนั้นๆ กลับไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เช่น ตัวเองเป็นคนสันโดษ แต่เพื่อนๆ ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ บางคนรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่คนส่วนใหญ่ใช้สินค้าแบรนด์เนม กินอาหารราคาแพง เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่เราสัมผัสก็รู้อยู่แก่ใจว่าสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีพฤติกรรมที่ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นการเลือกที่จะคล้อยตามจึงอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เราจึงควรรู้จักการ “แตกต่าง” แต่ต่างอย่าง “สร้างสรรค์” ที่ไม่ก่อให้เกิดการแตกแยก
         นั่นคือการมีจุดยืนในตัวเอง ว่าเราเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัยอย่างไร เช่น ไม่ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน เป็นต้น จุดยืนที่ชัดเจนเหล่านี้จะเป็นเครื่องที่แสดงความเป็นตัวตนของเราได้เป็นอย่างดี แม้ในตอนแรกอาจจะได้รับการเซ้าซี้ให้มารวมกลุ่ม ร่วมก๊วนอยู่บ้าง แต่นานๆไป พวกเขาย่อมมีความเข้าใจเรามากขึ้น และยอมรับความเป็นตัวเราได้ในที่สุด หากความชัดเจนในการเป็นตัวของตัวเองของเรานั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และเราก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเพื่อนๆ เหล่านั้นได้อย่างเป็นปกติ
       ความมีจุดยืนนี้เองยังเป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองไม่ได้สื่อความหมายไปถึงความก้าวร้าว ขวางโลกเสมอไป หากแต่ยังสามารถแสดงออกได้อย่างนอบน้อม ชัดเจน พูดจาชัดถ้อยชัดทำ ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ไปกระทบ เบียดเบียนผู้อื่น เหมือนกับที่เลดี้ กาก้า ศิลปินชื่อดัง ได้เคยกฃ่าวเอาไว้ แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “คุณหัวเราะฉันที่ฉันดูแปลก ฉันก็หัวเราะคุณเหมือนกันที่คุณดูเหมือนๆกันไปหมด”แม้สิลปินดังกล่าวจะดูแปลกในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยในโลก ที่ชื่นชอบและยึดเอาเธอเป็นแบบอย่างเช่นเดียวกัน ดังนั้น จงเชื่อมันในความเป็นตัวของตัวเอง เลือกที่จะแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ หากมันทำให้เรามีความสุขและไม่เบียดเบียนใครกันเถอะ

10 เทคนิคอ่านหนังสือสอบ

      1.อย่าทะเลาะ หรือมีเรื่องที่ทำขุ่นหมองข้องใจกับแฟน
อย่าทำเป็นล้อเล่นไปเชียว ใครที่มีแฟนคงจะรู้ว่าเขาหรือเธอมีอิทธิพลมากขนาดไหนต่อการอ่านหนังสือสอบ เรื่องอื่นกับงานน่ะใครๆก็บอกว่าแยกแยะได้ แต่เว้นเรื่องนี้ไว้เรื่องนึง วันไหนที่คุณทะเลาะกับแฟน หรือถูกแฟนบอกเลิกในช่วงสอบล่ะก็ มันทำให้คุณคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ตอนอ่านหนังสือก็จะนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดกับแฟนเป็นพักๆ นอกจากไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้วอาจจะประชดชีวิตตัวเองด้วยการทำตัวให้เหลวแหลกเลยก็ได้
กรณีตัวอย่าง สมัยที่เราเรียนในมหาลัยเราพักกับรูมเมทอารมณ์หัวรุนแรงอยู่คนนึง แล้วมีตอนที่ทะเลาะกับแฟนจนแทบจะบอกเลิกกันช่วงใกล้สอบ คนอื่นเค้าอ่านหนังสือสอบกัน แต่มันไปซดเหล้าเป็นน้ำเลย กลับห้องมาระบายใส่ข้าวของรบกวนคนอื่นอ่านหนังสืออีก จะติวอะไรให้มันก็ไม่เข้าหัวแล้ว

     2.ทำอย่างอื่นให้เสร็จแล้วค่อยอ่าน
เวลาที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำตอนใกล้ตายก็รู้สึกตายตาไม่หลับเลยใช่มั้ย ตอนอ่านหนังสือก็เหมือนกัน พอมีอย่างอื่นที่ค้างคาแล้วไปอ่านหนังสือก็จะคิดถึงแต่เรื่องนั้น ลังเลคิดว่าจะทำต่อดีมั้ยหรือไม่ทำดี หรือที่จริงควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ คิดอยู่นั่นแหละ ตัวหนังสือที่อ่านๆก็เลยกลายเป็นเรื่องผ่านตาไป
กรณีตัวอย่าง ช่วงใกล้สอบเราดันนั่งชิลๆไปเล่นเกม แล้วเล่นเกมไม่จบ ไปอ่านหนังสือต่อ ก็คิดๆไปว่าด่านนี้จะผ่านยังไงฟะ โธ่ถ้าเล่นป่านนี้จบไปแล้ว คิดมากจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ เลยไปเล่นให้มันจบซะ แล้วอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ(ถ้าไม่คิดจะเล่นเกมอื่นต่อนะ)

     3.ตั้งใจเรียนซะสิ
หายากนะที่จะมีอาจารย์คนไหนมาช่วยทวนเรื่องที่เคยเรียนก่อนสอบ(บอกว่าจะออกอะไรบ้างก็บุญโขแล้ว) ท่านก็มีเวลาส่วนตัวเหมือนเรา ถ้าเข้าใจตั้งแต่อยู่ในห้องเรียน เวลาอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบก็ง่ายขึ้น เพราะพอจะอ่านเราก็รู้สึกว่า เฮ้ยเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว จำได้ๆ งั้นผ่านไปเรื่องอื่นเลยแล้วกัน ดีกว่ามาคิดเฮ้ยเรื่องนี้มันเป็นไงมาไงฟะ เห็นมั้ยย่นเวลาอ่านหนังสือได้เยอะ แต่ก็อย่ามั่นใจมากจนเกินไป บางวิชามันก็ไม่ได้ออกตามหนังสือ(อย่างเช่นคณิตศาสตร์ สอนอย่างมัธยมแต่ข้อสอบยังกับป.ตรี เรื่องแคลคูลัสน่ะเห็นมั้ย) การทำความเข้าใจตั้งแต่ในคาบเรียนมันจะทำให้เรามีเวลาไปทำโจทย์ที่ยากกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนได้ค่ะ

     4.หนีห่างจากIT
ตอนอ่านหนังสือมันอย่างน้อยก็มีแค่กระดาษกับแสงไฟเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้ แต่เทคโนโลยีมันทำให้เราสะดวกสบายและได้รับความบันเทิงมากไปหน่อย เลยทำให้หลายคนเคลิ้มไปกับมัน โดยเฉพาะพวกอยู่หอพักแล้วมีไวเลสเนี่ยต่อโน้ตบุ๊คกันกระจายเลยใช่มั้ย เล่นเอาซะไม่อยากอ่านหนังสือเลย ทางที่ดีก็อยู่ห่างๆมันซะ ถ้าใครต้องอ่านจากสไลด์PowerPointก็ปริ๊นใส่กระดาษ(มันอ่านง่ายกว่าเลื่อนไปเลื่อนมาในคอมจริงๆนา) ฝากไว้ที่บ้าน หรือเอาเก็บใส่กล่องสมบัติแล้วล็อคกุญแจไว้ซะ หรือถ้ากลัวจะไขขึ้นมา ก็ทำให้มันพัง เอาน้ำราด ปล่อยไวรัสลงคอม เท่านี้เราก็จะห่างมันได้เป็นเดือนเลยล่ะ วะฮะๆฮ่า
กรณีตัวอย่าง โน้ตบุ๊คตัวเองนั่นแหละ เล่นมันดีนักจนไม่อ่านหนังสือ เล่นจนจอเสื่อมไปเลย เอาไปซ่อมก็ไม่คุ้ม เลยพับเก็บไว้ รอซื้อในงานคอมมาร์ท กว่าจะได้ซื้อก็หลังสอบ ระหว่างที่ไม่มีอะไรเล่นก็อ่านหนังสือมันอย่างเดียวแหละ แต่เช่าจากร้านการ์ตูนมาอ่านนะ(อ้าวเฮ้ย)\

     5.อ่านหนังสือตอนกลางคืน
วิธีเบสิคสำหรับคนชอบความเงียบ ถ้าใครคิดว่ากลางวันมันร้อน แล้วเจอเสียงดังๆจากคนรอบข้างแล้วมันทำให้เสียสมาธิ อ่านไม่ได้ ลองเปลี่ยนเวลามาอ่านในยามราตรีค่ะ ทั้งเงียบ ทั้งเย็น ส่วนใหญ่หลับกันหมดแล้ว ถึงจะมีคนอ่านกลางคืนเหมือนกันก็ทำเสียงดังไม่ได้เพราะจะรบกวนการนอนของคนที่เหลือ แถมไม่มีใครมาคุยรบกวนตอนอ่านหนังสือ โลกนี้เป็นของข้าแล้ว คราวนี้จะตั้งใจอ่านอะไรก็อ่านไปค่ะ แต่ถ้าอ่านแบบโต้รุ่งแบบไม่หลับไม่นอนระวังผลข้างเคียงตอนทำข้อสอบนะคะ เพราะสิ่งที่อ่านไว้อาจจะสูญเปล่าเพราะลืม เบลอ ง่วงนอน ดีไม่ดีจะหลับคาห้องสอบซะอีก  สรุปวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายพร้อมด้วย อ่อ และวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวผีนะ
กรณีตัวอย่าง สมัยเรียนมหาลัย(อีกแล้ว) เราอ่านหนังสือในหอพักมันก็จะมีพวกที่สมาธิไม่นิ่งเข้ามาเยี่ยมในห้องและชวนรูมเมทเม้าแตกกระจาย ชวนทำปาร์ตี้มาม่า ดูหนัง (เฮ้ยนี่ตอนใกล้สอบจริงอะ) เราก็เข้าไปร่วมวงกับเขา แล้วตอนกลางคืนที่พวกมันหลับกันก็อ่านหนังสือค่ะ ซดกาแฟไปหลายจอกเลย - - พอดีเราเป็นพวกชินกับกลางคืนอยู่แล้วด้วย รู้สึกว่าอ่านกลางวันความรู้อะไรไม่เข้าหัวเลยอะ

     6.นอนให้อิ่มแล้วค่อยอ่าน
อันนี้สำหรับคนบริหารเวลาเป็นจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าหนังสือมันมีสารอะไรเคลือบไว้ พอเริ่มอ่านหนังสือได้ซักหน้าสองหน้าก็จะเริ่มทำตาปรือ สมองเบลอ แล้วก็ Zzzz กว่าจะตื่นมาก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบแล้ว คราวนี้กลายเป็นอ่านแบบลนๆอีก แล้วอะไรจะเข้าหัวล่ะ ให้เรานอนจนเต็มอิ่มซะก่อน พอตื่นมาในหัวมันก็จะว่างเปล่า ไม่ใช่สมองกลวงนะ แต่พร้อมที่จะรับอะไรมาใส่หัวโดยที่ไม่มีอาการต่อต้านเลยตะหากล่ะ
กรณีตัวอย่าง เพราะผลพวงที่เกิดมาจากการอ่านแบบโต้รุ่งทำให้กลางวันต้องหลับเป็นตาย แค่อยู่เฉยๆก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ไหวแล้วล่ะ Zzz

     7.อย่าอ่านในห้องสมุดที่เปิดแอร์เย็นๆ
รู้มั้ยอากาศเย็นๆมันน่านอนแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็เถอะ ขนาดนอนบนเตียงในห้องแอร์ตื่นมาแทบไม่อยากจะลุกขึ้นเลย แล้วนั่งอ่านหนังสือเฉยๆจะทนไหวเหรอ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เปิดให้มันเย็นแบบพอดีๆค่ะ ไม่งั้นอ่านไปไม่กี่หน้าก็ฟุบคาโต๊ะ อาเมน
กรณีตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งที่เรานึกครึ้มอยากไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของมหาลัย ซึ่งมันขึ้นชื่อเรื่องเปิดแอร์เย็นมากๆ(ทั้งๆที่เห็นว่ามันถูกปรับเป็น25องศา...25องศาฟาเรนไฮต์รึไงฟะ) แค่เดินไปเลือกหนังสือก็เคลิ้มแล้ว พอได้หนังสือมาปุ๊บก็เอามาหนุนนอนเลย เวรกรรม

      8.เปลี่ยนคนที่เราไม่ชอบหน้าให้กลายเป็นคู่แข่งทางการเรียน
เอาเถอะถึงเค้าจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเราหมั่นใส้เค้าน่ะ แต่มันก็รู้สึกดีใช่มั้ยที่มีอะไรเหนือกว่า เวลาที่คิดจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าในช่วงสอบให้คิดเอาไว้ซะว่า ถ้าเจ้าหมอนี่มันได้คะแนนดีกว่าเราคงถูกเยาะเย้ยแน่ๆ จะต่อหน้าหรือลับหลังก็เถอะ แต่ไม่ต้องไปประกาศท้าแข่งกับมันนะ อย่างน้อยก็เผื่อเราแพ้ไง
กรณีตัวอย่าง เราทะเลาะกับเพื่อนที่ผลการเรียนสูสีกันตอน ม.ต้น  เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแหละ แต่ทิฐิแรงเกินไปเลยคืนดีช้าไปหน่อย ช่วงที่แง่งๆใส่กันก็อ่านหนังสือสอบเพราะแรงฮึดแปลกๆ แบบกว่ากลัวมันทำคะแนนได้เยอะกว่าเราแล้วเอาไปกระแนะกระแหนน่ะ แถมคะแนนสอบก็ประกาศในห้องด้วย สุดท้ายก็ชนะมัน ฮี่ๆ

     9.คิดถึงหน้าพ่อแม่ซะบ้าง
ในสังคมของพ่อแม่เราเวลาคุยกับชาวบ้านเรื่องลูกๆ ถ้ายังเรียนไม่จบก็จะพูดกันเรื่องเรียนทั้งนั้นแหละ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนกล้าพูดอวดให้คนอื่นเค้าฟังหรอกว่าลูกตัวเองเรียน5ปี หรือใกล้โดนรีไทร์ เวลาที่เรารู้ผลการเรียนแย่ๆแล้วพ่อแม่มาถามก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย(บางคนนี่ถึงขนาดรอรับผลการเรียนทางจดหมายเพื่อเอาไปซ่อนเลย) ถ้ายังไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนก็นึกถึงผู้มีพระคุณต่อเราไว้ก่อน นึกถึงสีหน้าตอนที่คนอื่นถามถึงผลการเรียนของคุณ
กรณีตัวอย่าง อันนี้ไม่รู้จะเกี่ยวรึเปล่า เรายืมmp3ของเพื่อนที่มันนั่งเล่นเกมอยู่มาฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ(ชิลได้อีก) เวลาได้ฟังเพลงเพราะๆจะชอบร้องท่อนฮุคด้วย แล้วได้ฟังเพลงฮอร์โมน ของกรูฟไรเดอร์เข้า ที่ท่อนฮุคมันร้องว่า"คิดเอาไว้~คิดถึงหน้าพ่อแม่ของเธอไว้ ..." ฮ่ะๆ ร้องลั่นห้องเลย ไอ้พวกที่เล่นเกมก็สะดุ้งโหยงสิ แล้วก็มีอีกเพลงนึง(จำชื่อไม่ได้) ที่มันมีท่อนที่ร้องว่า"จะเอาอะไรกับมันมาก อีกไม่นานก็ตาย..." ซักพักเพื่อนมันบอก"เฮ้ยไอ้ปู แกฟังเพลงเงียบๆไปเลย เดี๋ยวจะอ่านหนังสือแล้ว เลือกร้องเพลงแต่ละเพลงได้ซะ..." เห็นมั้ยว่าเวลาคิดถึงหน้าพ่อแม่มันทำให้มีแรงฮึดอ่านหนังสือ ตกลงตัวอย่างที่กล่าวมามันเกี่ยวกันมั้ยฟะ

      10.หักห้ามใจที่จะทำเรื่องอื่นไว้ซะ
พิมพ์ๆไปมันง่าย อ่านง่าย แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำยากเอาเรื่อง ถึงจะอยากทำโน่นทำนี่ก็ต้องหยุดความเอาแต่ใจตัวเองเอาไว้ก่อน ตารางสอบก็กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แถมไม่ได้สอบทุกวัน(ส่วนใหญ่คงเป็นแบบนี้กัน) เวลาว่างๆไปอ่านหนังสือซะสิ
กรณีตัวอย่าง ผู้หญิงที่มีชื่อย่อ ป. เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง เรียนจบมาครึ่งปี มันบอกว่าจะอ่านหนังสือเพื่อสอบกพ. สอบTOEICอะไรของมัน มัวแต่มาต่อเน็ต นั่งเล่นเกม แปลโดYอยู่ได้ ไปอ่านหนังสือสิฟะ

Cr. http://www.unigang.com/Article/16491

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัดที่ 8

ชื่อ-สกุล  นายศุภร   สถิตโสฬส       รหัส   57010112037


คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. “ น ายA ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว Cเมื่อนางสาว C ทราบเขาก็เลยนำโปรแกรมนี้ ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่  หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย B และนางสาว C ไม่ได้ทำการขออนุญาติ นาย A อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย A เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

 2. “ นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตาราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย Kเป็นนักเรียนในระดับประถมปลายททำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J ” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น จึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวง โดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย 

แบบฝึกหัดที่ 7

​ชื่อ-สกุล  นายศุภกร   สถิตโสฬส         รหัส 57010112037
1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Fire-well) คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่
นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น
จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งาน
ระหว่าง Network ต่าง ๆ
2.จงอธิบายคำศัทพ์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm,virus computer,spy ware,adware
มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
       Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่
กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น
Outlook Express หรือ Microsoft Outlook

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
        แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4..ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
         1.สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ
         2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง
         3.เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
         4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว
         5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็น
ทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอเน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันได้แก่
        1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์

แบบฝึกหัดที่ 6

ชื่อ-สกุล นายศุภกร  สถิตโสฬส                  รหัส 57010112037


​คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
    2. เทคโนโลยี
    3. สารสนเทศ
    4. พัฒนาการ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
    1. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
    2. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
    3. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    4. การพยากรณ์อากาศ
3.การฝากถอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
    1. ระบบอัตโนมัติ
    2. เปลี่ยนรูปเเบบการบริการเป็นเเบบกระจาย
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    2. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
    3. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
    4. ถูกทุกข้อ
5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
    1. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
    2. ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
    3. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
    4. การนำเอาคอมพวิเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
    1. เทคโนโลยีการสื่อสาร
    2. สารสนเทศ
    3. คอมพิวเตอร์
    4. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    2. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างหอพักอาศัยที่มีคุณภาพ
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
    1. เครื่องถ่ายเอกสาร
    2. เครื่องโทรสาร
    3. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
    4. โทรทัศน์ วิทยุ
9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
    2. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์ ซอฟต์เเวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
    3. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    4. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น
10.  ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
    1. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
    2. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากเเหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
    3. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
    4. ถูกทุกข้อ

แบบฝึกหัดที่ 5

ชื่อ-สกุล  นายศุภกร  สถิตโสฬส                            รหัส 57010112037

1.จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ   
        สารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยการจัดทำฐานข้อมูลส่วนบุคคล รวบรวมทั้งข้อมูลการดำรงชีวิต การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน บุคคลย่อมต้องการสารสนเทศหลายด้านเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น มีความก้าวหน้า และมีความสุข อาทิ ต้องการสารสนเทศเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ ต้องจัดการค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล การดูแลอาคารที่อยู่อาศัยต่างๆ ตลอดจนการเลี้ยงดูคนในครอบครัวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถที่ทำคุณประโยชน์แก่สังคม จึงจำเป็นต้องคัดกรองสารสนเทศที่มีอยู่มากมายจากหลายแหล่งเพื่อจัดเก็บ จัดทำระบบ และเรียกใช้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วความสำคัญในด้านการศึกษา การจัดการสารสนเทศด้านระบบการศึกษา เอื้ออำนวยให้บุคคลสามารถเลือกระบบการศึกษา การเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมกับบุคคลแต่ละคน สามารถเรียนรู้และศึกษาได้ตลอดเวลาตามความสนใจเฉพาะตน โดยไม่จำเป็นต้องสอบเข้าศึกษาตามสถาบันการศึกษาที่จัดระบบที่มีชั้นเรียนตลอดไป บุคคลสามารถเลือกศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา ติดต่อกับสถาบันการศึกษาในระบบเปิดหรือเรียนทางระบบออนไลน์ และเลือกเรียนได้ทุกระดับการศึกษา ทุกวัย นับเป็นปรัชญาการศึกษาตลอดชีวิต ความสำคัญในด้านการทำงาน บุคคลจำเป็นต้องใช้สารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ภาระหน้าที่ ประกอบการทำงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ การจัดเก็บสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบตามภารกิจส่วนตน ช่วยสนับสนุนให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ทันการณ์ ทันเวลา
2. การจัดการสารสนเทศมีความสําคัญต่อบุคคลและต่อองค์การอย่างไร
     2.1 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
           การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลในด้านการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพ ต่างๆ
     2.2 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์การ
           การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อองค์การในด้านการบริหารจัดการ การดำเนินงาน และกฎหมาย ดังนี้ ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ การบริหารจัดการในยุคโลกาภิวัตน์เป็นการบริหารภายใต้สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันกันทางธุรกิจสูง ผู้บริหารต้องอาศัยสารสนเทศที่เกี่ยวข้องทั้งกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ทางเลือกในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ การกำหนดทิศทางขององค์การ ให้สามารถแข่งขันกับองค์การคู่แข่งต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศ ที่เหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน ทันการณ์ และทันสมัย เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่ ตามระดับการบริหาร การจัดการสารสนเทศจึงนับว่ามีความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมีการออกแบบระบบการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี รวมทั้งกำหนดนโยบาย กระบวนการและกฎระเบียบ เพื่อจัดการสารสนเทศให้เหมาะกับสภาพการนำสารสนเทศไปใช้ในการบริหารงาน ในระดับต่างๆไม่ว่าจะเป็นระดับต้นหรือปฏิบัติการ ระดับกลาง และระดับสูง ให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่มา : http://0026008.blogspot.com/2012/08/5.html

3.พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง    
     พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศนักวิชาการด้านสารสนเทศศาสตร์บางคนได้กล่าวไว้ว่า การถกเถียงอภิปรายถึงความหมายของคำว่าสารสนเทศ จะไม่เกิดคุณค่าใดๆ หากไม่พิจารณาความหมายลึกลงไปในแง่การปฏิบัติงานกับสารสนเทศ หรือคือ การจัดการสารสนเทศ ทั้งนี้เพราะการศึกษาสารสนเทศศาสตร์ ในแง่มุมหนึ่งคือการประยุกต์ด้านการปฏิบัติงานเพื่อการจัดการสารสนเทศ และการจัดการสารสนเทศก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำมาเป็นระยะเวลายาวนานนับแต่รู้จักคิดค้นการขีดเขียน บันทึกข้อมูล การจัดการสารสนเทศโดยทั่วไป แบ่งอย่างกว้างๆได้เป็น 2 ยุค เป็นการจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ และการจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์  
         3.1 การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือการจัดการสารสนเทศเริ่มต้นเมื่อมีการสร้างอารยธรรมในด้านการบันทึกความรู้ ราว 2,000 - 8,000 ปีก่อนคริสตศักราช อียิปต์โบราณใช้กระดาษปาปิ รัสเขียนบันทึกข้อมูล หอสมุดอเล็กซานเดรีย (Library of Alexandria) สร้างโดยพระเจ้าปโทเลมีที่ 1 ในช่วง 285 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นคลังความรู้ที่ยิ่งใหญที่สุดในโลกยุคโบราณ จัดเก็บกระดาษปาริรัสที่เขียนบันทึกวิชาการแขนงต่างๆ ถึง 7 แสนกว่าม้วนไว้ในกระบอกทรงกลม และต่อมาในได้มีการใช้หนังสัตว์เย็บเป็นรูปเล่มหนังสือ เรียกว่าโคเด็กซ์ (codex) ในสมัยของเปอร์กามัม(Pergamum) แห่งกรีก ในช่วง 197-159 ปีก่อนคริสตศักราชช่วงศตวรรษที่ 12 เกิดสถาบันการศึกษาที่เป็นทางการ ห้องสมุดของสถาบันการศึกษา เช่นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ยังคงจัดระบบหนังสือในลักษณะเดียวกับห้องสมุดวัด นอกจากจัดหนังสือตามสาขาวิชาแล้ว ยังจัดตามขนาด และเลขทะเบียนหนังสือ หนังสือที่สำคัญมากยังคงถูกล่ามโซ่อยู่กับโต๊ะในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โยฮานน์ กูเต็นเบิร์ก (Johannes Gutenberg) ชาวเยอรมันคิดเครื่องพิมพ์ขึ้น พิมพ์หนังสือเล่มแรกของยุโรปคือ ไบเบิลในภาษาละติน เมื่อการพิมพ์แพร่ จึงมีการพิมพ์หนังสือ ทั้งตำรา สารคดีบันเทิงคดี พัฒนาเป็นวารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร กลางศตวรรษที่ 15 กิจการพิมพ์หนังสือมีอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วยุโรปศตวรรษที่ 16 กิจการการค้าหนังสือแพร่จากทวีปยุโรปสู่ทวีปอื่นทางเส้นทางการค้าและพัฒนาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้หนังสือจัดเป็นส่วนหนึ่งของชนทุกชั้น ลักษณะของหนังสือเปลี่ยนไป ขนาดเล็กลงใช้สะดวกขึ้น ไม่มีสื่อประเภทใดที่เป็นเครื่องมือค้นสื่อที่จัดเก็บแลเผยแพร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหนังสือเป็นระยะเวลายาวนาน (Feather 2002 : 24)การจัดการสารสนเทศในระยะแรก สื่ออยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดการสารสนเทศเน้นระบบมือโดยรวบรวมรายชื่อหนังสือที่มีการผลิตและเผยแพร่ และเทคนิคในการจัดเก็บเอกสารระยะแรกเ เป็นการจัดเรียงตามขนาดของรูปเล่มหนังสือ ตามสีของปก ตามลำดับอักษรชื่อผู้แต่ง ชื่อเรื่องหนังสือ เลขทะเบียน ตามลำดับก่อนหลังของหนังสือที่ห้องสมุด หน่วยงานได้รับ และรวมทั้งการกำหนดสัญลักษณ์ขึ้นเป็นตัวเลขและ/หรือตัวอักษรเพื่อแทนเนื้อหาสาระของสิ่งพิมพ์ แสดงให้ทราบว่าจะค้นสื่อที่ต้องการจากที่ใด ฉบับใด หรือจากหน้าใดในการค้น มีการจัดทำบัญชีรายการหนังสือ เอกสาร เป็นเล่มเพื่อใช้ค้นและเป็นบัญชีคุมหนังสือและเอกสารด้วย ต่อมายังมีการจัดทำเป็นแคตาล็อก (catalog) หรือบัตรรายการหนังสือ ในระยะแรกเป็นเพียงบัญชีรายชื่ออย่างหยาบๆ ต่อมามีรายละเอียดของหนังสือมากขึ้น และบอกเนื้อหาไว้ในบัญชีรายชื่อด้วย โดยมีการควบคุมบรรณานุกรม (bibliographic control) เป็นการรวบรวมจัดทำบรรณานุกรมหรือรายการทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือค้นหา ค้นคืนสื่อรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ สื่อบันทึกเสียง ภาพ และอื่นๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19การจัดเก็บสารสนเทศ ยังมีพัฒนาการระบบการจัดหมวดหมู่ (classification scheme) ใน ค.ศ. 1876 มีการคิดระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือระบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal Classification – DDC) เป็นการวิเคราะห์เนื้อหาสารสนเทศเพื่อกำหนดเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ย่อย ลดหลั่นจากเนื้อหากว้างๆ จนถึงเนื้อหาเฉพาะเพื่อให้สัญลักษณ์แทนเนื้อหาสารสนเทศเป็นตัวเลข และต่อมามีการพัฒนาการจัดหมวดหมู่โดยการใช้ตัวอักษรผสมตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นๆ แทนเนื้อหาของสารสนเทศ เป็นการจัดเก็บสิ่งพิมพ์อย่างเป็นระบบ และใช้เครื่องมือค้นจากแคตาล็อกสำหรับการจัดการสารสนเทศในสำนักงาน ระบบดั้งเดิม ใช้ระบบมือ หรือกำลังคนเป็นหลัก การจัดการเอกสารซึ่งใช้กระดาษระยะแรกจัดเก็บตามการรับเข้า และส่งออกตามลำดับเวลา มีการจัดทำทะเบียนเอกสารรับเข้า - ส่งออกในสมุดรับ – ส่งและจัดทำบัญชีรายการเอกสารด้วยลายมือเป็นรูปเล่ม ต่อมาพัฒนาเป็นจัดเก็บเอกสารโต้ตอบเฉพาะเรื่องไว้ในแฟ้มเรื่องเดียวกันในตู้เก็บเอกสาร โดยพัฒนาเป็นหมวดหมู่ของระบบงานสารบรรณเอกสาร การจัดเก็บ อาจจัดเรียงตามลำดับอักษรชื่อหน่วยงาน ชื่อบุคคล ตามเนื้อหา ตัวเลข ตัวอักษรผสมตัวเลข ลำดับเวลา และตามรหัส และมีการทำดรรชนี กำหนดรหัสสี มีการทำบัตรโยงในตู้เก็บเอกสาร เป็นต้น เพื่อความสะดวกในการค้นหา มีการทำบัญชีรายการสำหรับค้นเอกสารสารบรรณ ที่ต่อมาใช้เครื่องพิมพ์ดีดแทน การเขียน  
       3.2 การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์การจัดการสารสนเทศเกิดขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อสารสนเทศมีปริมาณมากมาย รูปลักษณ์หลากหลายคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการของจากอดีตถึงปัจจุบัน ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในระยะแรก ตั้งแต่ ค.ศ. 1946 มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีหลอดสูญญากาศ ใช้ในงานค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ การสำรวจสำมะโนประชากร ซึ่งต่อมา เครื่องคอมพิวเตอร์พัฒนามาใช้เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ มีขนาดเล็กลง และนำมาใช้ในงานทางด้านคณิตศาสตร์และวิศวกรรม ช่วงทศวรรษที่ 1960 คอมพิวเตอร์เริ่มใช้แผงวงจรรวมหรือไอซี และแผงวงจรรวมขนาดใหญ่ และนำมาใช้งานการสื่อสารข้อมูล และงานฐานข้อมูล เพื่อลดภาระงานประจำโดยทรัพยากรอยู่ในรูปของกระดาษ เห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนานำมาใช้งานตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อมาเป็นการนำมาใช้พัฒนาเป็นระบบสารสนเทศในงานเฉพาะทางต่างๆ เช่น ระบบห้องสมุดมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัตรรายการเป็นเครื่องมือช่วยค้นทรัพยากรสารสนเทศทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโสตทัศนประเภทต่างๆ ระบบงานเอกสารสำนักงานปรับปรุงระบบการทำงานให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้นในช่วง ค.ศ.1970 จึงนำมาจัดเก็บข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลจากกระดาษ จัดเก็บในลักษณะแฟ้ มข้อมูล ต่อมา ได้เริ่มพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อเอื้อต่อการจัดการสารสนเทศได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความซ้ำซ้อนขึ้นพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ในระยะหลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพิ่มสมรรถนะขึ้นอย่างมากมายตามยุคต่างๆ ในยุคหลังๆ จึงใช้ในงานที่สามารถหาเหตุผลด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งเลียนแบบวิธีคิดของมนุษย์ช่วงค.ศ. 1980 เป็นต้นมาพัฒนาการคอมพิวเตอร์ก้าวหน้าขึ้น อาทิ ไมโครคอมพิวเตอร์แม้มีขนาดเล็กลงแต่มีสมรรถนะมากขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์จัดการสารสนเทศในงานต่างๆ ทั้งการศึกษา การแพทย์ ธุรกิจ เป็นต้น โดยจัดทำระบบฐานข้อมูลช่วยงานด้านต่างๆทั้งการบริหาร การตัดสินใจที่ใช้ง่ายและดีกว่าเดิม ระบบสารสนเทศมุ่งตอบสนองทั้งความต้องการส่วนบุคคลของผู้ใช้ และการตอบสนองความต้องการในการทำงานตามหน้าที่ในองค์การมากขึ้น และเปลี่ยนจากเพิ่มประสิทธิผลไปสู่การใช้งานเชิงกลยุทธ์การใช้คอมพิวเตอร์ในระยะตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา การพัฒนาระบบเครือข่ายโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล และการใช้อินเทอร์เน็ต ทำให้การจัดการระบบฐานข้อมูลผ่านระบบออนไลน์อย่างกว้างขวาง ขยายการทำงาน การบริการ การค้า ธุรกิจ การคมนาคม การแพทย์ เป็นต้น กระทำได้อย่างกว้างขวางในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือใช้สารสนเทศร่วมกัน สื่อสารสารสนเทศทั้งตัวอักษร ภาพ เสียงเพื่อการดำเนินงานระหว่างองค์การของทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน
ที่มา : http://0026008.blogspot.com/2012/08/5.html

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
     4.1 ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้งไฟล์งาน เพลง วิดีโอ เป็นต้น
     4.2 ใช้โทรศัพท์มือถือในการถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำในเวลาต่างๆของชีวิต
     4.3 บันทึกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันลงในสมุดบันทึกส่วนตัว

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

การปั่นจักรยาน เพื่อลดน้ำหนัก

               หลายๆคนอาจคิดว่าเป็นการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังเฉพาะจุด คิดว่าไว้สำหรับลดส่วนขา ลดส่วนอื่นก็ไม่ได้ ซึ่งขอบอกเลยว่าความคิดเหล่านี้ไม่จริง เพราะ วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก เป็นการลดไขมันในทุกส่วนของร่างกาย ทำไมถึงเป็นแบบนั้นและทำไมถึงบอกว่าการลดไขมันเฉพาะจุดไม่มี การลดไขมันหรือลดน้ำหนักเฉพาะเจาะจงเป็นจุดๆนั้นไม่มี เนื่องจาก ไขมันคือพลังงานที่เหลือจากการใช้งานจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมเอาไว้ ถ้าปริมาณอาหารที่เรารับประทานเข้าไปสมดุลกับพลังงานที่เราใช้ ก็จะไม่มีการสะสมพลังงานในรูปไขมัน
ดังนั้นการที่เราปั่นจักรยานเพื่อลดน้ำหนัก ก็คือการใช้พลังงานจากร่างกายทั้งหมดนั้นเอง เมื่อปริมาณไขมันลดลงก็จะลดเหมือนกันทุกๆส่วน แต่การเห็นผลอาจจะเห็นได้ชัดเจนในส่วนที่มีการสะสมได้น้อยก่อน ส่วนบริเวณหน้าท้อง ต้นขา ที่มีการสะสมอยู่มากอาจจะทำให้เห็นผลได้ช้า เพราะการที่ลดช้าทำให้หลายๆคนคิดว่าการออกกำลังกายไม่ได้ผลและก็เลิกไป

     วิธีการปั่นจักรยานเพื่อลดน้ำหนัก มี 3เรื่องที่เราควรรู้ก่อนเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก
        1. เพราะอะไรขี่จักรยานออกกำลังกายแล้วน้ำหนักไม่ลด ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่า น้ำหนักเรา= FAT MASS(ไขมัน)+ Lean Body Mass (กล้ามเนื้อ) ดังนั้นถ้าน้ำหนักที่เราลดไปทุกๆกิโล ก็ต้องเกิดจากไม่กล้ามเนื้อหายไปก็เป็นไขมัน ดังนั้นบางคนที่น้ำหนักลงช้าหรือไม่ลงก็อย่าเพิ่งท้อ แต่ให้สังเกตดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายแทน ว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรือไม่ อย่าไปสนใจแต่ตัวเลขบนตราชั่งเพียงอย่างเดียวเพราะสิ่งแรกที่คนอื่นมองเห็นเราคือรูปร่างไม่ใช่ที่น้ำหนัก
       2. อัตราการเต้นของหัวใจมีผลต่อการเผาผลาญไขมันยังไง ถ้าต้องการลดน้ำหนัก เราต้องออกกำลังกายเป็นประจำควบคู่กับการกินอาหารที่มีประโยชน์ อัตราการเต้นของหัวใจมีผลต่อการเผาผลาญไขมันได้   โดยถ้าเราต้องการลดน้ำหนัก เราต้องตั้งเป้าให้หัวใจทำงานประมาณ 50-80 เปอร์เซ็น ของอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด สาเหตุที่เราต้องมีอัตราการเต้นของหัวใจเป้าหมาย ก็เพราะว่า ถ้าเกินกว่านี้นอกจากจะลดน้ำหนักแล้วอาจลดมวลกล้ามเนื้อด้วย สูตรคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดโดยการเอาอายุของเราลบออกจาก 220 เช่น ถ้าเราอายุ30= 220-30 =190 ดังนั้นช่วง60-90%จะเท่ากับ 114-171
ระดับการเต้นของหัวใจกับประเภทการออกกำลังกาย
– อุ่นเครื่อง อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 50% – 60% ออกกำลังกายแบบเบามาก ช่วยในแง่ฟื้นฟูสภาพร่างกายเป็นสำคัญ ใช้ลดน้ำหนักได้เล็กน้อย เวลาออกจะรู้สึกสบายไม่เหน็ดเหนื่อย
– เผาผลาญไขมัน อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 60% – 70% ออกกำลังกายแบบเบา ช่วยลดน้ำหนักไขมันส่วนเกินได้ดีที่สุดและเพิ่มความแข็งแรงทนทาน เวลาออกจะรู้สึกเหนื่อยเพียงเล็กน้อยแค่เหงื่อซึมๆ Zone นี้เหมาะกับการออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนักและไขมันส่วนเกินมากที่สุด พลังงานที่ใช้ออกกำลังจะดึงมาจากไขมันส่วนเกินในร่างกาย
– เพิ่มความอดทน อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที 70% – 80% ออกกำลังกายแบบปานกลาง ช่วยเพิ่มความฟิต (Aerobic fitness) จะรู้สึกตึงเล็กน้อย มีเหงื่อออกมากขึ้น ยังสามารถพูดเป็นประโยคได้ การออกใน Zone นี้ สามารถลด ไขมัน น้ำตาล และลดน้ำหนักได้ เป็น Zone ที่ได้ประโยชน์ที่สุดเหมาะกับคนทั่วไปที่ต้องการออกกำลังเพื่อสุขภาพ
– การฝึกสำหรับนักกีฬา อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที 80% – 90% ออกกำลังกายแบบหนัก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง จะรู้สึกเหนื่อย พูดได้เป็นคำๆ หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื้อ เหมาะกับนักกีฬาหรือบุคคลทั่วไปที่ต้องการเพิ่มความทนให้กลับกล้ามเนื้อและการออกกำลังกาย
– ออกกำลังกายแบบเต็มพิกัด 90-100% ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของร่างกายในการออกกำลัง และความเร็ว จะรู้สึกเหนื่อยมาก พูดขณะอกกำลังได้ลำบาก หายใจเร็ว มีการตึงล้าของกล้ามเนื่อได้มาก เหมาะสำหรับการฝึกซ้อมนักกีฬาที่เตรียมแข่งขัน
       3.ดื่มน้ำให้มากและทานเครื่องดื่มเกลือแร่เพื่ออะไร การดื่มน้ำจะช่วยทำให้ร่างกายเร่งอัตราการเผาผลาญได้ง่ายขึ้นนะครับ  ในสภาวะที่ร่างกายขาดน้ำจะไม่พร้อมทำอะไรทั้งสิ้น แม้ว่าสร้างกล้ามเนื้อหรือลดไขมันก็ตาม และเครื่องดื่มเกลือแร่จะช่วยเติมเกลือแร่ที่เราเสียไปกับเหงื่อ เพราะการขาดเกลือแร่อาจทำให้เกิดอาการตะคริวและอื่นๆได้ และที่สำคัญระหว่าง Cardio ก็ควรดื่มน้ำอีก 1.5ลิตร หรือว่าขวดใหญ่เพื่อขับของเสีย(น้ำดืมที่สะอาดและปลอดภัยเราดูยังไง), ขับ Sodium ส่วนเกินและให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มที่ เครื่องดื่มเกลือแร่จะกินแบบหลังปั่นหรือจะผสมน้ำดื่มระหว่างปั่นก็ได้ตามความชอบ

วิธีการปั่นจักรยานลดความอ้วนที่เราจะพูดกันวันนี้มี 2 อย่าง คือ
1. คาร์ดิโอ คือ การออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น เดิน ปั่นจักรยาน เต้นโดย การออกกำลังกายรูปแบบนี้ จะเป็นการออกกำลังกายที่ไม่เน้นการใช้พลังจากมัดกล้ามเนื้อไม่เน้นหนัก แต่มุ่งเน้นไปที่การขยับเขยื้อนร่างกายและระยะเวลาซึ่งมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ ทำให้ออกกำลังกายได้45-60 นาที
2. อินเทอร์วอล คือการออกกำลังที่มีความแปรปรวน ของ ความเร็วและความหนักหน่วงตลอดเวลา เช่น การปั่นเร็ว 30 วินาที และปั่นช้า 90 วินาที แล้วทำซ้ำ แบบนี้ 10-15 นาที
ขั้นตอนก็ง่ายๆดังนี้
   1. ยืดกล้ามเนื้อ (stretching) ตามปกติ
   2.วอร์มอัพด้วยการเริ่มปั่นเบาๆ 5 นาที เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อถึงนาทีที่ 5 ให้ Heart Rate (HR) อยู่ที่ 60% – 70% ของ MHR
   3. เมื่อเข้านาทีที่ 6 ให้คุณปั่นสุดแรงเกิด (sprint) ในทางปฏิบัติอาจจะไม่ต้องกับให้ถึงสุดแรงเกิดจริงๆ แต่ดูที่ HR ให้อยู่ที่ 80% – 90% ของ MHR ปั่นให้เร็วสุดๆแบบนี้ 20 วินาที
   4. เมื่อครบ 20 วินาที ให้ผ่อนลงมา แล้วปั่นตามอัตราปกติ 1 นาที
   5. เมื่อปั่นตามอัตราปกติครบ 1 นาที ให้ทำตามวงจรในข้อ 3 และ 4 ใหม่
   6. ทำเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้เกิน 10 – 15 นาที (ย้ำว่าไม่ควรเกิน 15 นาที)
   7.คูลดาวน์ โดยผ่อนลงมา ค่อยๆ ปั่นให้ช้าลงๆ ประมาณ 5 นาที สำหรับมือใหม่ ในครั้งแรกให้ลองทำแค่ 4 – 5 วงจรก็ แล้วสักระยะแล้วค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละรอบ แต่อย่าให้เกิน 15 นาที และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ ต้องใช้เวลาพักฟื้นร่างกายนาน ดังนั้นในหนึ่งสัปดาห์ทำสัก 3 ครั้งก็พอ

มือใหม่เริ่มปั่นจักรยานแบบไหนอย่างไรดี
    เลือก คาร์ดิโอ – มีเวลาว่างเหลือ – เพิ่งเริ่มออกกำลัง
    เลือก อินเทอร์วอล – อยากเผาผลาญแคลอรี่อย่างรวดเร็ว – เวลามีจำกัด
    วิธีการปั่นจักรยานเพื่อการลดน้ำหนัก สำหรับมือใหม่ มีหลักการที่สำคัญและไม่ควรลืมเลยคือ วอร์มอัพ     และคูลดาวน์ เพื่อไม่ให้ร่างกายบาดเจ็บและควรค่อยๆเพิ่งระยะเวลาและความแรงในการปั่น ต้องมีการ     ปั่นที่สม่ำเสมออย่าพยายามมุ่งเน้นไปที่การลดน้ำหนักอย่างเดียวจนลืมนึกถึงสุขภาพ และควรทาน           อาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ ทำแบบนี้สักเดือน รับรองมีคนทักคุณแน่ไปทำไรมาถึงดูดีขึ้นครับ


วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

การเพาะพันธุ์ปลาบอลลูน

การเพาะพันธุ์ปลาบอลลูน

  
การเพาะพันธุ์ปลาบอลลูน
ปลาบอลลูนเป็นปลามอลลี่ที่นำมาผสมแบบเลือดชิดจนเกิดร่างกายสั้นป้อม
คัดเลือก และพัฒนามาจากความผิดปกติของปลามอลลี่ (molly) ที่มีลำตัวสั้นกว่าปกติมาผสมพันธุ์กันทำให้ได้ลูกหลานที่มีลำตัวสั้น เป็นปลาที่อยู่ในตระกูลเดียวกับปลาหางนกยูง ปลาสอดและ
ปลาแพทตี้
          ปลาบอลลูนจัดเป็นปลาในกล่มออกลูกเป็นตัวชนิดหนึ่งที่นอกจากจะเลี้ยงง่ายแล้วยังเพาะพันธุ์ง่ายด้วย การเพาะพันธุ์ปลาบอลลูนนั้นสามารถเพาะเลี้ยงได้ทั้งในบ่อซีเมนต์และในกระชังซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดังต่อไปนี้คือ
          การเพาะเลี้ยงในบ่อซีเมนต์
          มีวิธีการเลี้ยงคล้าย ๆ กับการเพาะเลี้ยงปลาหางนกยูงในบ่อซีเมนต์คือ นำพ่อแม่พันธุ์ อายุประมาณ 3-4 เดือนขึ้นไป ปล่อยลงในบ่อซีเมนต์ ขนาดตามสะดวก และความต้องการของท่านว่าจะอยากได้ การผสมแนะนำให้ใช้อัตราส่วนเพศผู้ : เพศเมียเท่ากับ 1:4  ถ้าบ่อขนาด 3 x3 เมตร ระดับน้ำ 30 เซนติเมตรสามารถปล่อยพ่อแม่พันธุ์ได้ประมาณ 1,000 ตัว (100-120 ตัว/1 ตารางเมตร) แม่ปลาจะตั้งท้องประมาณ 28-35 วันและให้ลูกปลา 10-30 ตัว/แม่ปลา 1 ตัว แม่ปลาแต่ละรุ่นอายุไม่ควรเกิน 7-8 เดือน ควรนำปลารุ่นใหม่มาเป็นพ่อแม่พันธุ์ต่อไป
           เมื่อแม่ปลาให้ลูกจะต้องคอยตักลูกปลาทุกวันเพื่อไม่ให้มันกินลูก แล้วนำไปล่อยในบ่อนุบาลเพื่ออนุบาลต่อไป บ่ออนุบาลควรมีขนาด 1-6 ตารางเมตรโดยปล่อยในความหนาแน่น 120-200 ตัว/1 ตารางเมตร การอนุบาลช่วงแรกให้กินไรแดง 2 มื้อ เช้า-เย็น จนกระทั้งอายุได้ 1 เดือน แต่ขึ้นอยู่กับสถานที่เลี้ยงว่าสามารถหาไรแดงได้สะดวกหรือไป ถ้าไม่สามารถหาไรแดงได้เมื่อปลามีอายุ 2 สัปดาห์ไปแล้ว สามารถให้อาหารผสมแทนในมื้อเย็นได้ เมื่อลูกปลาอายุ 1 เดือน ทำการคัดขนาด แยกเพศและคัดปลาพิการออก ส่วนการถ่ายน้ำและการจัดการบ่อสามารถกระทำได้เมื่อลูกปลามีอายุ 3 สัปดาห์ไปแล้ว โดยถ่ายน้ำประมาณ 80% แล้วเติมน้ำใหม่ให้เท่ากับส่วนที่ถ่ายออก
            ทำการเลี้ยงลูกปลาต่อในความหนาแน่นประมาณ 60-80 ตัว/1 ตารางเมตร เลี้ยงต่อจนอายุได้ 2-2.5 เดือนก็สามารถคัดขนาดอีกครั้งเพื่อจำหน่ายได้ การเลี้ยงปลารุ่นนี้สามารถให้กินอาหารผสมในมื้อเย็นหรือถ้าไม่มีไรแดงก็สามารถให้กินอาหารผสมทั้ง 2 มื้อเช้าเย็นได้ การถ่ายน้ำและการจัดการบ่อในระยะนี้ ควรมีการถ่ายน้ำทุกสัปดาห์ ๆ ละ 1 ครั้งโดยถ่ายน้ำออกทั้งหมดแล้วเติมน้ำใหม่จนเท่าระดับน้ำเดิม สาเหตุที่ต้องถ่ายน้ำหมดเนื่องจากปลารุ่นมีการให้อาหารผสมสลับกับอาหารมีชีวิตคือไรแดง จึงมีส่วนของเศษอาหารที่หลงเหลือจากการกินและส่วนที่เป็นสิ่งขับถ่ายออกมาจากตัวปลา ทำให้น้ำมีคุณภาพไม่ดีเร็วยิ่งขึ้นและจะขุ่นตลอดเวลา การเปลี่ยนถ่ายน้ำทั้งหมดจะช่วยเพิ่มอัตราในการเจริญเติบโต แต่ควรพึงระวังคุณสมบัติน้ำที่เปลี่ยนถ่ายควรจะใกล้เคียงกับน้ำเก่าในบ่อ

          ให้ระวังคางคก หรืออึ่งอ่าง หรือกบ ลงไปกินให้หมั่นตรวจสอบจุดที่มันสามารถซ่อนได้ และบริเวณใต้ก้นบ่อ ใต้ขอบบ่อ บริเวณพื้นน้ำ และหิน

แบบฝึกหัดที่ 4

ชื่อ-สกุล  นายศุภกร สถิตโสฬส                       รหัส 57010112037   

คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1.      ให้นิสิตยกตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศตามหัวข้อต่อไปนี้ อย่างน้อยหัวข้อละ 3 ชนิด แล้วแลกเปลี่ยนกันตรวจสอบกับเพื่อน
1) การบันทึกและจัดเก็บข้อมูล เทป   บัตรATM   และเครื่องเอกซเรย์           
2) การแสดงผล จอคอมพิวเตอร์   ลำโพง   และ โปรเจคเตอร์
3) การประมวลผล = CPU   ซอฟต์แวร์   และฮาร์ดแวร์                             
4) การสื่อสารและเครือข่าย = AIS TRUE และ DTAC
Picture

แบบฝึกหัดที่ 3

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน       รหัส0026008

นายศุภกร สถิตโสฬส                                                     รหัส57010112037

1. ข้อใดเป็นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของการรู้สารสนเทศ
ก. ความสามารถในการกลั่นกรอง และประเมินค่าสารสนเทศที่หามาได้
ข. ความสามารถในการตัดสินใจใช้สารสนเทศรูปแบบต่างๆ
ค. ความสามารถของบุคคลในการสืบค้นและพัฒนาสารสนเทศ
ง. ความสามารถของบุคคลในการเข้าถึง ประเมิน และใช้งานสารสนเทศ
2. จากกระบวนการของการรู้สารสนเทศ ทั้ง 5 ประการ ประการไหนสำคัญที่สุด
ก. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงต้องการสารสนเทศ
ข. ความสารถในการค้นหาสารสนเทศ
ค. ความสามารถในการประเมินผลสารสนเทศ
ง. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้รู้สารสนเทศ
ก. สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
ข. สามารถใช้สารสนเทศในการดำเนินชีวิต
ค. ชอบใช้คอมพิวเตอร์ในการเล่นเกม
ง. ใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาสารสนเทศได้

4. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการรู้สารสนเทศ
1. โลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเน้นวัตถุนิยมมากขึ้น
2. ช่วยให้บุคคลประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต
3. สารสนเทศมีการเพิ่มปริมาณอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะเข้าถึง
4. ช่วยบุคคลเป็นผู้ที่มีศักยภาพในการเรียนรู้ตลอดชีวิต

5. ข้อใดเป็นการเรียงลำดับขั้นตอนของกระบวนการเรียนรู้สารสนเทศที่ถูกต้อง
1. ความสามารถในการประมวลสารสนเทศ
2. ความสามารถในการประเมินสารสนเทศ
3. ความสามารถในการใช้และการสื่อสารสนเทศอย่างมี ประสิทธิภาพ
4. ความสามารถในการค้นหาสารสนเทศ
5. ความสามารถในการตระหนักว่าเมื่อใดจึงจะต้องการสารสนเทศ

ก. 1-2-3-4-5     ข. 2-4-5-3-1       ค. 5-4-1-2-3      ง. 4-3-5-1-2

แบบฝึกหัดที่ 2

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน                 รหัส0026008

นายศุภกร สถิตโสฬส                                                         รหัส57010112037

1. รายชื่อเว็บไชต์หรือเทคโนโลยีที่ให้บิการตามหัวข้อต่างๆ
1.1การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในสาขาการศึกษา
http://www.dlf.ac.th 
http://www.vcharkarn.com 
http://www.thaigoodview.com 
1.2 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพธุรกิจ พาณิชย์ และสำนักงาน 
http://www.moc.go.th 
http://www.goonline.in.th 
http://www.tarad.com  
1.3 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพการสื่อสารมวลชน 
http://www.manager.co.th
http://www.thaitv3.com
http://www.seedmcot.com  
1.4 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางอุตสาหกรรม
http://www.industry.go.th 
http://www.thairung.co.th 
http://www.carryboy.com
1.5 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทางการแพทย์
http://www.dmsc.moph.go.th 
http://www.niems.go.th  
http://www.worldcommunitygrid.org  
1.6 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพทหารตำรวจ
http://www.rtsd.mi.th  
http://www.navy.mi.th 
http://www.rtaf.mi.th
1.7 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพวิศวกรรม
http://www.coe.or.th  
http://www.tumcivil.com
http://www.thaiengineering.com
1.8 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาชีพด้านเกษตรกรรม
http://www.doae.go.th
http://www.bangsaiagro.com 
http://www.thaigreenagro.com 
1.9 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับคนพิการต่างๆ
http://www.nep.go.th  
http://www.braille-cet.in.th  
http://www.tddf.or.th/

2. มหาวิทยาลัยมหาสารคามเตรียมเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษาให้กับท่าน มีอะไรบ้าง
            2.1 ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่ใช้ในมหาวิทยาลัย
            2.2 ระบบสืบค้นข้อมูลสารสนเทศออนไลน์ผ่านบริการ e-library
           2.3 งานบริการการเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อการศึกษาที่สำนักงานคอมพิวเตอร์

3. จากข้อสอง ท่านจะเอาเทคโนโลยีเหล่านั้น มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนอย่างไรบ้าง
            ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในทุกวันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้น การที่จะนำมาให้เกิดประโยชน์ก็เป็นเรื่องงาน เช่นระบบการเรียนออนไลน์ ที่สามารถหาเพิ่มเติมได้นอกเหนือจากบทเรียน หรือหากต้องการใช้บริการหนังสือจากนนักวิทยบริการ ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะค้นหาหนังสือที่ต้องการได้จากระบบออนไลน์ ก่อนที่จะไปใช้บริการ เราสามารถค้นได้จากทุกที แม้กระทั้งที่หอพัก ถัดจากสำนักวิทยบริการ เป็นสำนักคอมพิวเตอร์ ที่ให้บริการคอมพิวเตอร์แก่นิสิต และบุคคลทั่วไป เพื่อการเรียนรู้นอกห้องเรียน และการพัฒนามากกว่าที่เคย

แบบฝึกหัดที่ 1

รายวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน       
รหัส 0026008

นายศุภกร สถิตโสฬส                               
รหัส 57010112037

1. ข้อมูลหมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การแปลความหมายทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ผ่านการเก็บรวบรวม หรือ บันทึกไว้ แต่ยังไม่ผ่านการประมวลผลใดๆ
2. ข้อมูลปฐมภูมิ คือ เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้หรือหน่วยงานที่ใช้เป็นผู้ทำการเก็บข้อมูลด้วยตนเอง ซึ่งวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลอาจใช้วิธีการสัมภาษณ์ การทดลอง หรือการสังเกตการณ์ ข้อมูลปฐมภูมิเป็นข้อมูลที่มีรายละเอียดตรงตามที่ผู้ใช้ต้องการ
ตัวอย่างเช่น >> การสัมภาษณ์บุคคลผู้ที่ได้รับทุนการศึกษาในต่างประเทศ

3. ข้อมูลทุติยะภูมิ คือ เป็นข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ได้เก็บรวบรวมเอง แต่มีผู้อื่นหรือ หน่วยงานอื่นๆ ทำการเก็บรวบรวมไว้แล้ว การนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาใช้เป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ในบางครั้งข้อมูลอาจจะไม่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ หรือมีรายละเอียดไม่เพียงพอที่จะนำไปวิเคราะห์
ตัวอย่างเช่น >> สถิติการใช้งานคอมพิวเตอร์ในสำนักคอมพิวเตอร์

4. สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์ แปลความหมาย และประมวลผลเรียบร้อย ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้

5. จงอธิบายประเภทของสารสนเทศ การจำแนกสารสนเทศ มีการจำแนก 2 แบบ ขึ้นอยู่กับดุลพินิตของผู้ที่ต้องการใช้
              5.1 จำแนกตามแหล่งที่มา
                   5.1.1 สารสนเทศปฐมภูมิ คือ สารสนเทศที่มาจากแหล่งที่มาโดยตรง จะอยู่ในรูปของสื่อ วารสาร นิตยสาร งานวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือถ่ายทอดผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
                   5.1.2 สารสนเทศทุติยภูมิ คือ สารสนเทศที่ได้มาจากสารสนเทศปฐมภูมิ และมีการเรียบเรียงขึ้นมาใหม่ จัดหมวดหมู่ เพื่อเป็นประโยชน์และตรงตามจุดประสงค์ที่ต้องการและรวดเร็วมากขึ้น

                   5.1.3 สารสนเทศตติยภูมิ คือ สารสนเทศที่นำมาจากสองประเภทข้างต้น แต่จะไม่ตรงกับเนื้อหามากนัก แต่จะช่วยในการค้นหาสาระเฉพาะสาขาวิชาได้
           5.2 จำแนกตามแหล่งเก็บข้อมูล
                   5.2.1 กระดาษ เป็นการจัดเก็บสารสนเทศยุคแรกๆที่เกิดขึ้น ได้รับความนิยมเพราะงายต่อการบันทึกและจัดเก็บ
                   5.2.2 วัสดุย่อส่วน คือการนำสารสนเทศบันทึกลงวัสดุที่ง่ายต่อการจัดเก็บและประหยัดพื้นที่เช่นแผ่นฟิล์ม แต่มิได้รับความนิยมมากนักเพราะยากต่อการบันทึกและเก็บรักษา
                   5.2.3 สื่ออิเล็กทรอนิกส์ วัสดุสังเคราะห์ที่ถูกเคลือบด้วยสารแม่เหล็ก
                   5.2.4 สื่อออปติก วัสดุที่ต้องบันทึกด้วยแสงและใช้งานด้วยแสง เช่นแผ่นซีดีรอม

6. ข้อเท็จจริงหรือสิ่งต่างๆ อาจเป็นตัวเลข ข้อความ เสียง หรือรูปภาพ คือ ข้อมูล

7. ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล คือ สารสนเทศ

8. ส่วนสูงของเพื่อนที่ถามจากเพื่อนแต่ละคน คือ ข้อมูลปฐมภูมิ

9. ผลการลงทะเบียนของนิสิตปี 1 เป็น ข้อมูลทุติยภูมิ

10. กราฟแสดงจำนวนนิสิตในห้องเรียนวิชาการจัดการสารสนเทศยุคใหม่ในชีวิตประจำวัน Section วันอังคาร เป็น สารสนเทศปฐมภูมิ