วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559

แตกต่างอย่างสร้างสรรค์

      มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์สังคมและต้องการการยอมรับจากทุกคนในสังคม การปรับตัวเข้าหากันจึงเป็นสิ่งจำเป็น ดังคำกล่าวที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” แต่หลายๆ ครั้ง เรามักจะเกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่คล้อยตามไปกับสังคมนั้นๆ กลับไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องเสมอไป เช่น ตัวเองเป็นคนสันโดษ แต่เพื่อนๆ ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ บางคนรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ แต่คนส่วนใหญ่ใช้สินค้าแบรนด์เนม กินอาหารราคาแพง เป็นต้น ซึ่งในบางครั้งสิ่งที่เราสัมผัสก็รู้อยู่แก่ใจว่าสังคมที่เราอาศัยอยู่นั้นไม่ได้มีพฤติกรรมที่ถูกต้องเสมอไป ดังนั้นการเลือกที่จะคล้อยตามจึงอาจไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสม เราจึงควรรู้จักการ “แตกต่าง” แต่ต่างอย่าง “สร้างสรรค์” ที่ไม่ก่อให้เกิดการแตกแยก
         นั่นคือการมีจุดยืนในตัวเอง ว่าเราเป็นคนที่มีบุคลิกนิสัยอย่างไร เช่น ไม่ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไม่ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน เป็นต้น จุดยืนที่ชัดเจนเหล่านี้จะเป็นเครื่องที่แสดงความเป็นตัวตนของเราได้เป็นอย่างดี แม้ในตอนแรกอาจจะได้รับการเซ้าซี้ให้มารวมกลุ่ม ร่วมก๊วนอยู่บ้าง แต่นานๆไป พวกเขาย่อมมีความเข้าใจเรามากขึ้น และยอมรับความเป็นตัวเราได้ในที่สุด หากความชัดเจนในการเป็นตัวของตัวเองของเรานั้น ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน และเราก็ยังยิ้มแย้มพูดคุยกับเพื่อนๆ เหล่านั้นได้อย่างเป็นปกติ
       ความมีจุดยืนนี้เองยังเป็นการแสดงออกถึงความมั่นใจในตัวเอง ความมั่นใจในตัวเองไม่ได้สื่อความหมายไปถึงความก้าวร้าว ขวางโลกเสมอไป หากแต่ยังสามารถแสดงออกได้อย่างนอบน้อม ชัดเจน พูดจาชัดถ้อยชัดทำ ปฏิบัติแต่ในสิ่งที่ถูกต้อง และไม่ไปกระทบ เบียดเบียนผู้อื่น เหมือนกับที่เลดี้ กาก้า ศิลปินชื่อดัง ได้เคยกฃ่าวเอาไว้ แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “คุณหัวเราะฉันที่ฉันดูแปลก ฉันก็หัวเราะคุณเหมือนกันที่คุณดูเหมือนๆกันไปหมด”แม้สิลปินดังกล่าวจะดูแปลกในสายตาของคนส่วนใหญ่ แต่ต้องยอมรับว่ามีคนอีกจำนวนไม่น้อยในโลก ที่ชื่นชอบและยึดเอาเธอเป็นแบบอย่างเช่นเดียวกัน ดังนั้น จงเชื่อมันในความเป็นตัวของตัวเอง เลือกที่จะแตกต่างอย่างสร้างสรรค์ หากมันทำให้เรามีความสุขและไม่เบียดเบียนใครกันเถอะ

10 เทคนิคอ่านหนังสือสอบ

      1.อย่าทะเลาะ หรือมีเรื่องที่ทำขุ่นหมองข้องใจกับแฟน
อย่าทำเป็นล้อเล่นไปเชียว ใครที่มีแฟนคงจะรู้ว่าเขาหรือเธอมีอิทธิพลมากขนาดไหนต่อการอ่านหนังสือสอบ เรื่องอื่นกับงานน่ะใครๆก็บอกว่าแยกแยะได้ แต่เว้นเรื่องนี้ไว้เรื่องนึง วันไหนที่คุณทะเลาะกับแฟน หรือถูกแฟนบอกเลิกในช่วงสอบล่ะก็ มันทำให้คุณคิดมากจนไม่เป็นอันทำอะไรเลยล่ะ ตอนอ่านหนังสือก็จะนึกถึงเรื่องที่เจ็บปวดกับแฟนเป็นพักๆ นอกจากไม่มีสมาธิอ่านหนังสือแล้วอาจจะประชดชีวิตตัวเองด้วยการทำตัวให้เหลวแหลกเลยก็ได้
กรณีตัวอย่าง สมัยที่เราเรียนในมหาลัยเราพักกับรูมเมทอารมณ์หัวรุนแรงอยู่คนนึง แล้วมีตอนที่ทะเลาะกับแฟนจนแทบจะบอกเลิกกันช่วงใกล้สอบ คนอื่นเค้าอ่านหนังสือสอบกัน แต่มันไปซดเหล้าเป็นน้ำเลย กลับห้องมาระบายใส่ข้าวของรบกวนคนอื่นอ่านหนังสืออีก จะติวอะไรให้มันก็ไม่เข้าหัวแล้ว

     2.ทำอย่างอื่นให้เสร็จแล้วค่อยอ่าน
เวลาที่ยังไม่ได้ทำในสิ่งที่อยากทำตอนใกล้ตายก็รู้สึกตายตาไม่หลับเลยใช่มั้ย ตอนอ่านหนังสือก็เหมือนกัน พอมีอย่างอื่นที่ค้างคาแล้วไปอ่านหนังสือก็จะคิดถึงแต่เรื่องนั้น ลังเลคิดว่าจะทำต่อดีมั้ยหรือไม่ทำดี หรือที่จริงควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ คิดอยู่นั่นแหละ ตัวหนังสือที่อ่านๆก็เลยกลายเป็นเรื่องผ่านตาไป
กรณีตัวอย่าง ช่วงใกล้สอบเราดันนั่งชิลๆไปเล่นเกม แล้วเล่นเกมไม่จบ ไปอ่านหนังสือต่อ ก็คิดๆไปว่าด่านนี้จะผ่านยังไงฟะ โธ่ถ้าเล่นป่านนี้จบไปแล้ว คิดมากจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ เลยไปเล่นให้มันจบซะ แล้วอ่านหนังสือต่ออย่างสบายใจ(ถ้าไม่คิดจะเล่นเกมอื่นต่อนะ)

     3.ตั้งใจเรียนซะสิ
หายากนะที่จะมีอาจารย์คนไหนมาช่วยทวนเรื่องที่เคยเรียนก่อนสอบ(บอกว่าจะออกอะไรบ้างก็บุญโขแล้ว) ท่านก็มีเวลาส่วนตัวเหมือนเรา ถ้าเข้าใจตั้งแต่อยู่ในห้องเรียน เวลาอ่านหนังสือช่วงใกล้สอบก็ง่ายขึ้น เพราะพอจะอ่านเราก็รู้สึกว่า เฮ้ยเรื่องนี้เรารู้อยู่แล้ว จำได้ๆ งั้นผ่านไปเรื่องอื่นเลยแล้วกัน ดีกว่ามาคิดเฮ้ยเรื่องนี้มันเป็นไงมาไงฟะ เห็นมั้ยย่นเวลาอ่านหนังสือได้เยอะ แต่ก็อย่ามั่นใจมากจนเกินไป บางวิชามันก็ไม่ได้ออกตามหนังสือ(อย่างเช่นคณิตศาสตร์ สอนอย่างมัธยมแต่ข้อสอบยังกับป.ตรี เรื่องแคลคูลัสน่ะเห็นมั้ย) การทำความเข้าใจตั้งแต่ในคาบเรียนมันจะทำให้เรามีเวลาไปทำโจทย์ที่ยากกว่าตอนอยู่ในห้องเรียนได้ค่ะ

     4.หนีห่างจากIT
ตอนอ่านหนังสือมันอย่างน้อยก็มีแค่กระดาษกับแสงไฟเท่านั้นแหละที่จะช่วยเราได้ แต่เทคโนโลยีมันทำให้เราสะดวกสบายและได้รับความบันเทิงมากไปหน่อย เลยทำให้หลายคนเคลิ้มไปกับมัน โดยเฉพาะพวกอยู่หอพักแล้วมีไวเลสเนี่ยต่อโน้ตบุ๊คกันกระจายเลยใช่มั้ย เล่นเอาซะไม่อยากอ่านหนังสือเลย ทางที่ดีก็อยู่ห่างๆมันซะ ถ้าใครต้องอ่านจากสไลด์PowerPointก็ปริ๊นใส่กระดาษ(มันอ่านง่ายกว่าเลื่อนไปเลื่อนมาในคอมจริงๆนา) ฝากไว้ที่บ้าน หรือเอาเก็บใส่กล่องสมบัติแล้วล็อคกุญแจไว้ซะ หรือถ้ากลัวจะไขขึ้นมา ก็ทำให้มันพัง เอาน้ำราด ปล่อยไวรัสลงคอม เท่านี้เราก็จะห่างมันได้เป็นเดือนเลยล่ะ วะฮะๆฮ่า
กรณีตัวอย่าง โน้ตบุ๊คตัวเองนั่นแหละ เล่นมันดีนักจนไม่อ่านหนังสือ เล่นจนจอเสื่อมไปเลย เอาไปซ่อมก็ไม่คุ้ม เลยพับเก็บไว้ รอซื้อในงานคอมมาร์ท กว่าจะได้ซื้อก็หลังสอบ ระหว่างที่ไม่มีอะไรเล่นก็อ่านหนังสือมันอย่างเดียวแหละ แต่เช่าจากร้านการ์ตูนมาอ่านนะ(อ้าวเฮ้ย)\

     5.อ่านหนังสือตอนกลางคืน
วิธีเบสิคสำหรับคนชอบความเงียบ ถ้าใครคิดว่ากลางวันมันร้อน แล้วเจอเสียงดังๆจากคนรอบข้างแล้วมันทำให้เสียสมาธิ อ่านไม่ได้ ลองเปลี่ยนเวลามาอ่านในยามราตรีค่ะ ทั้งเงียบ ทั้งเย็น ส่วนใหญ่หลับกันหมดแล้ว ถึงจะมีคนอ่านกลางคืนเหมือนกันก็ทำเสียงดังไม่ได้เพราะจะรบกวนการนอนของคนที่เหลือ แถมไม่มีใครมาคุยรบกวนตอนอ่านหนังสือ โลกนี้เป็นของข้าแล้ว คราวนี้จะตั้งใจอ่านอะไรก็อ่านไปค่ะ แต่ถ้าอ่านแบบโต้รุ่งแบบไม่หลับไม่นอนระวังผลข้างเคียงตอนทำข้อสอบนะคะ เพราะสิ่งที่อ่านไว้อาจจะสูญเปล่าเพราะลืม เบลอ ง่วงนอน ดีไม่ดีจะหลับคาห้องสอบซะอีก  สรุปวิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่ร่างกายพร้อมด้วย อ่อ และวิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนที่กลัวผีนะ
กรณีตัวอย่าง สมัยเรียนมหาลัย(อีกแล้ว) เราอ่านหนังสือในหอพักมันก็จะมีพวกที่สมาธิไม่นิ่งเข้ามาเยี่ยมในห้องและชวนรูมเมทเม้าแตกกระจาย ชวนทำปาร์ตี้มาม่า ดูหนัง (เฮ้ยนี่ตอนใกล้สอบจริงอะ) เราก็เข้าไปร่วมวงกับเขา แล้วตอนกลางคืนที่พวกมันหลับกันก็อ่านหนังสือค่ะ ซดกาแฟไปหลายจอกเลย - - พอดีเราเป็นพวกชินกับกลางคืนอยู่แล้วด้วย รู้สึกว่าอ่านกลางวันความรู้อะไรไม่เข้าหัวเลยอะ

     6.นอนให้อิ่มแล้วค่อยอ่าน
อันนี้สำหรับคนบริหารเวลาเป็นจริงๆค่ะ ไม่รู้ว่าหนังสือมันมีสารอะไรเคลือบไว้ พอเริ่มอ่านหนังสือได้ซักหน้าสองหน้าก็จะเริ่มทำตาปรือ สมองเบลอ แล้วก็ Zzzz กว่าจะตื่นมาก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือสอบแล้ว คราวนี้กลายเป็นอ่านแบบลนๆอีก แล้วอะไรจะเข้าหัวล่ะ ให้เรานอนจนเต็มอิ่มซะก่อน พอตื่นมาในหัวมันก็จะว่างเปล่า ไม่ใช่สมองกลวงนะ แต่พร้อมที่จะรับอะไรมาใส่หัวโดยที่ไม่มีอาการต่อต้านเลยตะหากล่ะ
กรณีตัวอย่าง เพราะผลพวงที่เกิดมาจากการอ่านแบบโต้รุ่งทำให้กลางวันต้องหลับเป็นตาย แค่อยู่เฉยๆก็ทำอะไรอย่างอื่นไม่ไหวแล้วล่ะ Zzz

     7.อย่าอ่านในห้องสมุดที่เปิดแอร์เย็นๆ
รู้มั้ยอากาศเย็นๆมันน่านอนแค่ไหน ถึงแม้ว่าจะนอนมาเต็มอิ่มแล้วก็เถอะ ขนาดนอนบนเตียงในห้องแอร์ตื่นมาแทบไม่อยากจะลุกขึ้นเลย แล้วนั่งอ่านหนังสือเฉยๆจะทนไหวเหรอ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เปิดให้มันเย็นแบบพอดีๆค่ะ ไม่งั้นอ่านไปไม่กี่หน้าก็ฟุบคาโต๊ะ อาเมน
กรณีตัวอย่าง มีครั้งหนึ่งที่เรานึกครึ้มอยากไปอ่านหนังสือในห้องสมุดของมหาลัย ซึ่งมันขึ้นชื่อเรื่องเปิดแอร์เย็นมากๆ(ทั้งๆที่เห็นว่ามันถูกปรับเป็น25องศา...25องศาฟาเรนไฮต์รึไงฟะ) แค่เดินไปเลือกหนังสือก็เคลิ้มแล้ว พอได้หนังสือมาปุ๊บก็เอามาหนุนนอนเลย เวรกรรม

      8.เปลี่ยนคนที่เราไม่ชอบหน้าให้กลายเป็นคู่แข่งทางการเรียน
เอาเถอะถึงเค้าจะรู้ตัวหรือไม่ว่าเราหมั่นใส้เค้าน่ะ แต่มันก็รู้สึกดีใช่มั้ยที่มีอะไรเหนือกว่า เวลาที่คิดจะทำอะไรที่ไม่เข้าท่าในช่วงสอบให้คิดเอาไว้ซะว่า ถ้าเจ้าหมอนี่มันได้คะแนนดีกว่าเราคงถูกเยาะเย้ยแน่ๆ จะต่อหน้าหรือลับหลังก็เถอะ แต่ไม่ต้องไปประกาศท้าแข่งกับมันนะ อย่างน้อยก็เผื่อเราแพ้ไง
กรณีตัวอย่าง เราทะเลาะกับเพื่อนที่ผลการเรียนสูสีกันตอน ม.ต้น  เพราะเรื่องไม่เป็นเรื่องแหละ แต่ทิฐิแรงเกินไปเลยคืนดีช้าไปหน่อย ช่วงที่แง่งๆใส่กันก็อ่านหนังสือสอบเพราะแรงฮึดแปลกๆ แบบกว่ากลัวมันทำคะแนนได้เยอะกว่าเราแล้วเอาไปกระแนะกระแหนน่ะ แถมคะแนนสอบก็ประกาศในห้องด้วย สุดท้ายก็ชนะมัน ฮี่ๆ

     9.คิดถึงหน้าพ่อแม่ซะบ้าง
ในสังคมของพ่อแม่เราเวลาคุยกับชาวบ้านเรื่องลูกๆ ถ้ายังเรียนไม่จบก็จะพูดกันเรื่องเรียนทั้งนั้นแหละ คงไม่มีพ่อแม่คนไหนกล้าพูดอวดให้คนอื่นเค้าฟังหรอกว่าลูกตัวเองเรียน5ปี หรือใกล้โดนรีไทร์ เวลาที่เรารู้ผลการเรียนแย่ๆแล้วพ่อแม่มาถามก็รู้สึกอึดอัดใช่มั้ย(บางคนนี่ถึงขนาดรอรับผลการเรียนทางจดหมายเพื่อเอาไปซ่อนเลย) ถ้ายังไม่ได้หาเงินส่งตัวเองเรียนก็นึกถึงผู้มีพระคุณต่อเราไว้ก่อน นึกถึงสีหน้าตอนที่คนอื่นถามถึงผลการเรียนของคุณ
กรณีตัวอย่าง อันนี้ไม่รู้จะเกี่ยวรึเปล่า เรายืมmp3ของเพื่อนที่มันนั่งเล่นเกมอยู่มาฟังเพลงตอนอ่านหนังสือ(ชิลได้อีก) เวลาได้ฟังเพลงเพราะๆจะชอบร้องท่อนฮุคด้วย แล้วได้ฟังเพลงฮอร์โมน ของกรูฟไรเดอร์เข้า ที่ท่อนฮุคมันร้องว่า"คิดเอาไว้~คิดถึงหน้าพ่อแม่ของเธอไว้ ..." ฮ่ะๆ ร้องลั่นห้องเลย ไอ้พวกที่เล่นเกมก็สะดุ้งโหยงสิ แล้วก็มีอีกเพลงนึง(จำชื่อไม่ได้) ที่มันมีท่อนที่ร้องว่า"จะเอาอะไรกับมันมาก อีกไม่นานก็ตาย..." ซักพักเพื่อนมันบอก"เฮ้ยไอ้ปู แกฟังเพลงเงียบๆไปเลย เดี๋ยวจะอ่านหนังสือแล้ว เลือกร้องเพลงแต่ละเพลงได้ซะ..." เห็นมั้ยว่าเวลาคิดถึงหน้าพ่อแม่มันทำให้มีแรงฮึดอ่านหนังสือ ตกลงตัวอย่างที่กล่าวมามันเกี่ยวกันมั้ยฟะ

      10.หักห้ามใจที่จะทำเรื่องอื่นไว้ซะ
พิมพ์ๆไปมันง่าย อ่านง่าย แต่วิธีนี้เป็นวิธีที่ทำยากเอาเรื่อง ถึงจะอยากทำโน่นทำนี่ก็ต้องหยุดความเอาแต่ใจตัวเองเอาไว้ก่อน ตารางสอบก็กำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แถมไม่ได้สอบทุกวัน(ส่วนใหญ่คงเป็นแบบนี้กัน) เวลาว่างๆไปอ่านหนังสือซะสิ
กรณีตัวอย่าง ผู้หญิงที่มีชื่อย่อ ป. เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่ง เรียนจบมาครึ่งปี มันบอกว่าจะอ่านหนังสือเพื่อสอบกพ. สอบTOEICอะไรของมัน มัวแต่มาต่อเน็ต นั่งเล่นเกม แปลโดYอยู่ได้ ไปอ่านหนังสือสิฟะ

Cr. http://www.unigang.com/Article/16491

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559

แบบฝึกหัดที่ 8

ชื่อ-สกุล  นายศุภร   สถิตโสฬส       รหัส   57010112037


คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้

1. “ น ายA ทำการเขียนโปรแกรมขึ้นมาโปรแกรมหนึ่งเพื่อทดลองโจมตีการทำงานของคอมพิวเตอร์ สามารถใช้งานได้ โดยทำการระบุ IP-Address โปรแกรมนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทดลองในงานวิจัย นาย B ที่เป็นเพื่อนสนิทของนาย A ได้นำโปรแกรมนี้ไปทดลองใช้แกล้งนางสาว Cเมื่อนางสาว C ทราบเขาก็เลยนำโปรแกรมนี้ ไปใช้และส่งต่อให้เพื่อนๆ ที่รู้จักได้ทดลอง” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่  หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
เป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม คือ นาย B และนางสาว C ไม่ได้ทำการขออนุญาติ นาย A อย่างถูกกิจลักษณะ อาจทำให้นาย A เสียหายได้ และผิดกฎหมาย คือ  กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Law) สาระของกฎหมายนี้มุ่งเน้นให้การคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัว ไม่ให้มีการนำข้อมูลของบุคคลไปใช้ในทางมิชอบ

 2. “ นาย J ได้ทำการสร้างโฮมเพจ เพื่อบอกว่าโลกแบนโดยมีหลักฐาน อ้างอิงจากตาราต่างๆ อีกทั้งรูปประกอบ เป็นการทำเพื่อความสนุกสนาน ไม่ได้ใช้ในการอ้างอิงทางวิชาการใดๆ เด็กชาย Kเป็นนักเรียนในระดับประถมปลายททำรายงานส่งครูเป็นการบ้านภาคฤดูร้อนโดยใช้ข้อมูลจากโฮมเพจของนาย J ” การกระทำอย่างนี้เป็น ผิดจริยธรรม หรือผิดกฎหมายใดๆ หรือไม่ หากไม่ผิดเพราะเหตุใด และหากผิด ผิดในแง่ไหน จงอธิบาย
การกระทำนี้อาจกระทำขึ้นด้วยความสนุกสนาน ไม่ได้ตั้งใจทำให้เกิดความเสื่อมเสียถึงผู้ใด แต่การกระทำเช่นนี้อาจทำให้เกิดความรำคาญแก่ผู้อื่น จึงเป็นการทำผิดจริยธรรมโดยตรง ทั้งการปลอมหลักฐาน และการหลอกลวง โดยไม่มีการทำการพิสูจน์ และยืนยันจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถและขาดความน่าเชื่อถือ อาจทำให้ตนเองหมดความน่าเชื่อถือไปด้วย 

แบบฝึกหัดที่ 7

​ชื่อ-สกุล  นายศุภกร   สถิตโสฬส         รหัส 57010112037
1. หน้าที่ของไฟร์วอลล์ (Fire-well) คือ เป็นระบบรักษาความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งที่
นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์ Hardware และ Software โดยหน้าที่หลัก ๆ ของ Firewall นั้น
จะทำหน้าที่ควบคุมการใช้งาน
ระหว่าง Network ต่าง ๆ
2.จงอธิบายคำศัทพ์ต่อไปนี้ ที่เกี่ยวข้องกับไวรัสคอมพิวเตอร์ worm,virus computer,spy ware,adware
มาอย่างน้อย 1 โปรแกรม
       Worm เป็นไวรัสประเภทหนึ่งที่ก่อกวน สามารถทำสำเนาตัวเอง (copy) และแพร่กระจายไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
เครื่องอื่นๆ ได้ ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนตัว และในระบบเครือข่ายเสียหายไวรัส วอร์ม นี้ปัจจุบันมีหลากหลายมาก มีการแพร่
กระจายของไวรัสได้รวดเร็วมาก ทั้งนี้เนื่องจากไวรัส วอร์ม จะสามารถแพร่กระจายผ่านทางอีเมล์ได้ ไม่ว่าจะเป็น
Outlook Express หรือ Microsoft Outlook

3.ไวรัสคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็นกี่ชนิด อะไรบ้าง
        แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ Application viruses และ System viruses

4..ให้นิสิตอธิบายแนวทางในการป้องกันไวรัสคอมพิวเตอร์มาอย่างน้อย 5 ข้อ
         1.สร้างแผ่นบูต emergency disk เพื่อใช้ช่วยในการกู้ระบบ การสร้างแผ่น emergency disk
หรือบางครั้งอาจเรียกว่า Rescure disk นั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าเครื่องติดไวรัสที่ไม่สามารถ
จะกำจัดได้โดยผ่านระบบปฏิบัติการวินโดวส์ หรือผลกระทบของไวรัสที่ทำให้เครื่องไม่สามารถบูต
ได้ตามปกติเราก็สามารถใช้แผ่น emergency diskมาช่วยในการกู้ข้อมูลและกำจัดไวรัสออกจนทำ
ให้บูตเครื่องได้ตามปกติ
         2.ปรับปรุงฐานข้อมูลไวรัสทุกวันหรืออย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนหัวใจ
ของการใช้งานโปรแกรมป้องกันไวรัส เนื่องจากไวรัสคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนาออกมาใหม่ทุกวัน
ดังนั้นจึงควรที่จะสอนโปรแกรมป้องกันไวรัสให้รู้จักไวรัสชนิดใหม่ๆด้วย โดยการปรับปรุงฐานข้อมูล
ไวรัสที่ใช้งานนั่นเอง
         3.เปิดใช้งาน auto - protect โดยส่วนใหญ่โปรแกรมป้องกันไวรัสที่ติดตั้งจะทำการสร้าง
โพรเซสที่จะตรวจหาไวรัสตลอดเวลา เพื่อป้องกันไม่ให้ไวรัสสามารถถูกเอ็กซิคิวต์ในเครื่องได้
         4.ก่อนเปิดไฟล์จากแผ่นที่นำมาใช้จากที่อื่นให้สแกนหาไวรัสก่อน แผ่นดิสก์ที่นำไปใช้ที่อื่นแล้ว
นำกลับมาเปิดที่เครื่อง จะมั่นใจได้อย่างไรว่าแผ่นนั้นไม่มีไวรัสอยู่ ดังนั้นควรจะตรวจหาไวรัสใน
แผ่นก่อนที่จะเปิดอ่านข้อมูลที่ถูกบรรจุในแผ่นดิสก์ดังกล่าว
         5.ทำการตรวจหาไวรัสทุกสัปดาห์ ในแต่ละสัปดาห์แน่นอนว่ามีไฟล์ที่ผ่านเข้าออกเครื่องมาก
มายไม่ว่าจะเป็น อี-เมล์ที่ได้รับ ไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาจากอินเทอร์เน็ต ตลอดจนไฟล์ชั่วคราวของ
โปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่เก็บในแต่ละครั้งที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าไฟล์เหล่า
นั้นไม่มีไวรัสแฝงตัวมา ดังนั้นจึงควรที่จะทำการตรวจหาไวรัส โดยการสแกนหาทั้งระบบ อาจจะเป็น
ทุกเย็นของวันศุกร์ก่อนกลับบ้านก็เป็นได้

5.มาตรการด้านจริยธรรมคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการใช้อินเทอเน็ตที่เหมาะสมกับสังคมปัจจุบันได้แก่
        1. กฏหมายคุ้มครองข้องมูลส่วนบุคคล
        2. กฏหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
        3. กฏหมายพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
        4. กฏหมายการแลกเปลี่ยนข้อมูงทางอิเล็กทอนิกส์
        5. กฏหมายลายมือชื่ออิเล็กทอนิกส์
        6. กฏหมายการโอนเงินทางอิเล็กทอนิกส์
        7. กฏหมายโทลคมนาคม
        8. กฏหมายระหว่างประเทศ
        9. กฏหมายืั้เกี่ยวเนื่องกับระบบอินเตอร์เน็ต
       10. กฏหมายพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอิเล็กทอนิกส์และคอมพิวเตอร์

แบบฝึกหัดที่ 6

ชื่อ-สกุล นายศุภกร  สถิตโสฬส                  รหัส 57010112037


​คำชี้แจง  จงตอบคำถามต่อไปนี้
1. การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เป็นความหมายของข้อใด?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศ
    2. เทคโนโลยี
    3. สารสนเทศ
    4. พัฒนาการ
2. เทคโนโลยีสารสนเทศใดก่อให้เกิดผลด้านการเสริมสร้างความเท่าเทียมกันในสังคม?
    1. ควบคุมเครื่องปรับอากาศ
    2. ระบบการเรียนการสอนทางไกล
    3. การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    4. การพยากรณ์อากาศ
3.การฝากถอนเงินผ่านตู้ ATM เป็นลักษณะเด่นของเทคโนโลยีสารสนเทศข้อใด?
    1. ระบบอัตโนมัติ
    2. เปลี่ยนรูปเเบบการบริการเป็นเเบบกระจาย
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินการในหน่วยงานต่างๆ
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
4. ข้อใดคือการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. ระบบการโอนถ่ายเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
    2. บัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิต
    3. การติดต่อข้อมูลทางเครือข่าย
    4. ถูกทุกข้อ
5. เทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึงข้อใด?
    1. การประยุกต์เอาความรู้มาทำให้เกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์
    2. ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี
    3. การนำเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์มาสร้างข้อมูลเพิ่มให้กับสารสนเทศ
    4. การนำเอาคอมพวิเตอร์มาใช้ในการจัดเก็บข้อมูล
6.เครื่องมือที่สำคัญในการจัดการสารสนเทศในยุคเทคโนโลยีสารสนเทศคืออะไร?
    1. เทคโนโลยีการสื่อสาร
    2. สารสนเทศ
    3. คอมพิวเตอร์
    4. ถูกทุกข้อ
7. ข้อใดไม่ใช่บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
    2. เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเปลี่อนสั่งซื้อสินค้าจากที่บ้าน หรือสอบถามผลสอบได้
    3. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้บุคคลทุกระดับติดต่อกันได้อย่างรวดเร็ว
    4. เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการสร้างหอพักอาศัยที่มีคุณภาพ
8. ข้อใดไม่ใช่อุปกรณ์ที่ช่วยงานด้านสารสนเทศ?
    1. เครื่องถ่ายเอกสาร
    2. เครื่องโทรสาร
    3. เครื่องมินิคอมพิวเตอร์
    4. โทรทัศน์ วิทยุ
9. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ?
    1. เป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ
    2. พัฒนาอย่างรวดเร็วทั้งทางด้านฮาร์ดเเวร์ ซอฟต์เเวร์ ข้อมูล และการสื่อสาร
    3. ไม่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
    4. จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น
10.  ข้อใดคือประโยชน์ที่ได้จากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการเรียน?
    1. ตรวจสอบผลการลงทะเบียน ผลการสอบได้
    2. สามารถสืบค้นข้อมูลได้จากเเหล่งข้อมูลที่มีอยู่ทั่วโลกได้
    3. ติดต่อสื่อสารกับเพื่อน ครู อาจารย์ หรือส่งงานได้ทุกที่
    4. ถูกทุกข้อ

แบบฝึกหัดที่ 5

ชื่อ-สกุล  นายศุภกร  สถิตโสฬส                            รหัส 57010112037

1.จงอธิบายความหมายของการจัดการสารสนเทศ   
        สารสนเทศอย่างเป็นระบบ โดยการจัดทำฐานข้อมูลส่วนบุคคล รวบรวมทั้งข้อมูลการดำรงชีวิต การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพต่างๆ ในการดำรงชีวิตประจำวัน บุคคลย่อมต้องการสารสนเทศหลายด้านเพื่อใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น มีความก้าวหน้า และมีความสุข อาทิ ต้องการสารสนเทศเพื่อการดูแลรักษาสุขภาพ ต้องจัดการค่าใช้จ่ายในครอบครัว ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล การดูแลอาคารที่อยู่อาศัยต่างๆ ตลอดจนการเลี้ยงดูคนในครอบครัวให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถที่ทำคุณประโยชน์แก่สังคม จึงจำเป็นต้องคัดกรองสารสนเทศที่มีอยู่มากมายจากหลายแหล่งเพื่อจัดเก็บ จัดทำระบบ และเรียกใช้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วความสำคัญในด้านการศึกษา การจัดการสารสนเทศด้านระบบการศึกษา เอื้ออำนวยให้บุคคลสามารถเลือกระบบการศึกษา การเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมกับบุคคลแต่ละคน สามารถเรียนรู้และศึกษาได้ตลอดเวลาตามความสนใจเฉพาะตน โดยไม่จำเป็นต้องสอบเข้าศึกษาตามสถาบันการศึกษาที่จัดระบบที่มีชั้นเรียนตลอดไป บุคคลสามารถเลือกศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา ติดต่อกับสถาบันการศึกษาในระบบเปิดหรือเรียนทางระบบออนไลน์ และเลือกเรียนได้ทุกระดับการศึกษา ทุกวัย นับเป็นปรัชญาการศึกษาตลอดชีวิต ความสำคัญในด้านการทำงาน บุคคลจำเป็นต้องใช้สารสนเทศทั้งที่เกี่ยวข้องกับองค์การ ภาระหน้าที่ ประกอบการทำงานทั้งระดับบริหารและระดับปฏิบัติการ การจัดเก็บสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับความรับผิดชอบตามภารกิจส่วนตน ช่วยสนับสนุนให้สามารถทำงานให้ประสบความสำเร็จได้ทันการณ์ ทันเวลา
2. การจัดการสารสนเทศมีความสําคัญต่อบุคคลและต่อองค์การอย่างไร
     2.1 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อบุคคล
           การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อบุคคลในด้านการดำรงชีวิตประจำวัน การศึกษา และการทำงานประกอบอาชีพ ต่างๆ
     2.2 ความสำคัญของการจัดการสารสนเทศต่อองค์การ
           การจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อองค์การในด้านการบริหารจัดการ การดำเนินงาน และกฎหมาย ดังนี้ ความสำคัญด้านการบริหารจัดการ การบริหารจัดการในยุคโลกาภิวัตน์เป็นการบริหารภายใต้สภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และมีการแข่งขันกันทางธุรกิจสูง ผู้บริหารต้องอาศัยสารสนเทศที่เกี่ยวข้องทั้งกับสภาพแวดล้อมภายในและภายนอกองค์การ เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ทางเลือกในการแก้ปัญหา การตัดสินใจ การกำหนดทิศทางขององค์การ ให้สามารถแข่งขันกับองค์การคู่แข่งต่างๆ จึงจำเป็นต้องได้รับสารสนเทศ ที่เหมาะสม ถูกต้อง ครบถ้วน ทันการณ์ และทันสมัย เพื่อใช้ประกอบภารกิจตามหน้าที่ ตามระดับการบริหาร การจัดการสารสนเทศจึงนับว่ามีความสำคัญ ความจำเป็นที่ต้องมีการออกแบบระบบการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ การเลือกใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี รวมทั้งกำหนดนโยบาย กระบวนการและกฎระเบียบ เพื่อจัดการสารสนเทศให้เหมาะกับสภาพการนำสารสนเทศไปใช้ในการบริหารงาน ในระดับต่างๆไม่ว่าจะเป็นระดับต้นหรือปฏิบัติการ ระดับกลาง และระดับสูง ให้สามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ที่มา : http://0026008.blogspot.com/2012/08/5.html

3.พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศแบ่งออกเป็นกี่ยุค อะไรบ้าง    
     พัฒนาการของการจัดการสารสนเทศนักวิชาการด้านสารสนเทศศาสตร์บางคนได้กล่าวไว้ว่า การถกเถียงอภิปรายถึงความหมายของคำว่าสารสนเทศ จะไม่เกิดคุณค่าใดๆ หากไม่พิจารณาความหมายลึกลงไปในแง่การปฏิบัติงานกับสารสนเทศ หรือคือ การจัดการสารสนเทศ ทั้งนี้เพราะการศึกษาสารสนเทศศาสตร์ ในแง่มุมหนึ่งคือการประยุกต์ด้านการปฏิบัติงานเพื่อการจัดการสารสนเทศ และการจัดการสารสนเทศก็เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้กระทำมาเป็นระยะเวลายาวนานนับแต่รู้จักคิดค้นการขีดเขียน บันทึกข้อมูล การจัดการสารสนเทศโดยทั่วไป แบ่งอย่างกว้างๆได้เป็น 2 ยุค เป็นการจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือ และการจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์  
         3.1 การจัดการสารสนเทศด้วยระบบมือการจัดการสารสนเทศเริ่มต้นเมื่อมีการสร้างอารยธรรมในด้านการบันทึกความรู้ ราว 2,000 - 8,000 ปีก่อนคริสตศักราช อียิปต์โบราณใช้กระดาษปาปิ รัสเขียนบันทึกข้อมูล หอสมุดอเล็กซานเดรีย (Library of Alexandria) สร้างโดยพระเจ้าปโทเลมีที่ 1 ในช่วง 285 ปีก่อนคริสตศักราช เป็นคลังความรู้ที่ยิ่งใหญที่สุดในโลกยุคโบราณ จัดเก็บกระดาษปาริรัสที่เขียนบันทึกวิชาการแขนงต่างๆ ถึง 7 แสนกว่าม้วนไว้ในกระบอกทรงกลม และต่อมาในได้มีการใช้หนังสัตว์เย็บเป็นรูปเล่มหนังสือ เรียกว่าโคเด็กซ์ (codex) ในสมัยของเปอร์กามัม(Pergamum) แห่งกรีก ในช่วง 197-159 ปีก่อนคริสตศักราชช่วงศตวรรษที่ 12 เกิดสถาบันการศึกษาที่เป็นทางการ ห้องสมุดของสถาบันการศึกษา เช่นมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ยังคงจัดระบบหนังสือในลักษณะเดียวกับห้องสมุดวัด นอกจากจัดหนังสือตามสาขาวิชาแล้ว ยังจัดตามขนาด และเลขทะเบียนหนังสือ หนังสือที่สำคัญมากยังคงถูกล่ามโซ่อยู่กับโต๊ะในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โยฮานน์ กูเต็นเบิร์ก (Johannes Gutenberg) ชาวเยอรมันคิดเครื่องพิมพ์ขึ้น พิมพ์หนังสือเล่มแรกของยุโรปคือ ไบเบิลในภาษาละติน เมื่อการพิมพ์แพร่ จึงมีการพิมพ์หนังสือ ทั้งตำรา สารคดีบันเทิงคดี พัฒนาเป็นวารสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร กลางศตวรรษที่ 15 กิจการพิมพ์หนังสือมีอยู่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วยุโรปศตวรรษที่ 16 กิจการการค้าหนังสือแพร่จากทวีปยุโรปสู่ทวีปอื่นทางเส้นทางการค้าและพัฒนาเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ส่งผลให้หนังสือจัดเป็นส่วนหนึ่งของชนทุกชั้น ลักษณะของหนังสือเปลี่ยนไป ขนาดเล็กลงใช้สะดวกขึ้น ไม่มีสื่อประเภทใดที่เป็นเครื่องมือค้นสื่อที่จัดเก็บแลเผยแพร่ได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่าหนังสือเป็นระยะเวลายาวนาน (Feather 2002 : 24)การจัดการสารสนเทศในระยะแรก สื่ออยู่ในรูปของสื่อสิ่งพิมพ์ การจัดการสารสนเทศเน้นระบบมือโดยรวบรวมรายชื่อหนังสือที่มีการผลิตและเผยแพร่ และเทคนิคในการจัดเก็บเอกสารระยะแรกเ เป็นการจัดเรียงตามขนาดของรูปเล่มหนังสือ ตามสีของปก ตามลำดับอักษรชื่อผู้แต่ง ชื่อเรื่องหนังสือ เลขทะเบียน ตามลำดับก่อนหลังของหนังสือที่ห้องสมุด หน่วยงานได้รับ และรวมทั้งการกำหนดสัญลักษณ์ขึ้นเป็นตัวเลขและ/หรือตัวอักษรเพื่อแทนเนื้อหาสาระของสิ่งพิมพ์ แสดงให้ทราบว่าจะค้นสื่อที่ต้องการจากที่ใด ฉบับใด หรือจากหน้าใดในการค้น มีการจัดทำบัญชีรายการหนังสือ เอกสาร เป็นเล่มเพื่อใช้ค้นและเป็นบัญชีคุมหนังสือและเอกสารด้วย ต่อมายังมีการจัดทำเป็นแคตาล็อก (catalog) หรือบัตรรายการหนังสือ ในระยะแรกเป็นเพียงบัญชีรายชื่ออย่างหยาบๆ ต่อมามีรายละเอียดของหนังสือมากขึ้น และบอกเนื้อหาไว้ในบัญชีรายชื่อด้วย โดยมีการควบคุมบรรณานุกรม (bibliographic control) เป็นการรวบรวมจัดทำบรรณานุกรมหรือรายการทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือค้นหา ค้นคืนสื่อรูปแบบต่างๆ ทั้งหนังสือ สื่อบันทึกเสียง ภาพ และอื่นๆ ที่ประดิษฐ์ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19การจัดเก็บสารสนเทศ ยังมีพัฒนาการระบบการจัดหมวดหมู่ (classification scheme) ใน ค.ศ. 1876 มีการคิดระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือระบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal Classification – DDC) เป็นการวิเคราะห์เนื้อหาสารสนเทศเพื่อกำหนดเป็นหมวดหมู่ใหญ่ ย่อย ลดหลั่นจากเนื้อหากว้างๆ จนถึงเนื้อหาเฉพาะเพื่อให้สัญลักษณ์แทนเนื้อหาสารสนเทศเป็นตัวเลข และต่อมามีการพัฒนาการจัดหมวดหมู่โดยการใช้ตัวอักษรผสมตัวเลข หรือเครื่องหมายอื่นๆ แทนเนื้อหาของสารสนเทศ เป็นการจัดเก็บสิ่งพิมพ์อย่างเป็นระบบ และใช้เครื่องมือค้นจากแคตาล็อกสำหรับการจัดการสารสนเทศในสำนักงาน ระบบดั้งเดิม ใช้ระบบมือ หรือกำลังคนเป็นหลัก การจัดการเอกสารซึ่งใช้กระดาษระยะแรกจัดเก็บตามการรับเข้า และส่งออกตามลำดับเวลา มีการจัดทำทะเบียนเอกสารรับเข้า - ส่งออกในสมุดรับ – ส่งและจัดทำบัญชีรายการเอกสารด้วยลายมือเป็นรูปเล่ม ต่อมาพัฒนาเป็นจัดเก็บเอกสารโต้ตอบเฉพาะเรื่องไว้ในแฟ้มเรื่องเดียวกันในตู้เก็บเอกสาร โดยพัฒนาเป็นหมวดหมู่ของระบบงานสารบรรณเอกสาร การจัดเก็บ อาจจัดเรียงตามลำดับอักษรชื่อหน่วยงาน ชื่อบุคคล ตามเนื้อหา ตัวเลข ตัวอักษรผสมตัวเลข ลำดับเวลา และตามรหัส และมีการทำดรรชนี กำหนดรหัสสี มีการทำบัตรโยงในตู้เก็บเอกสาร เป็นต้น เพื่อความสะดวกในการค้นหา มีการทำบัญชีรายการสำหรับค้นเอกสารสารบรรณ ที่ต่อมาใช้เครื่องพิมพ์ดีดแทน การเขียน  
       3.2 การจัดการสารสนเทศโดยใช้คอมพิวเตอร์การจัดการสารสนเทศเกิดขึ้นโดยใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อสารสนเทศมีปริมาณมากมาย รูปลักษณ์หลากหลายคอมพิวเตอร์มีพัฒนาการของจากอดีตถึงปัจจุบัน ปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในระยะแรก ตั้งแต่ ค.ศ. 1946 มีการประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้เทคโนโลยีหลอดสูญญากาศ ใช้ในงานค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ การสำรวจสำมะโนประชากร ซึ่งต่อมา เครื่องคอมพิวเตอร์พัฒนามาใช้เทคโนโลยีทรานซิสเตอร์ มีขนาดเล็กลง และนำมาใช้ในงานทางด้านคณิตศาสตร์และวิศวกรรม ช่วงทศวรรษที่ 1960 คอมพิวเตอร์เริ่มใช้แผงวงจรรวมหรือไอซี และแผงวงจรรวมขนาดใหญ่ และนำมาใช้งานการสื่อสารข้อมูล และงานฐานข้อมูล เพื่อลดภาระงานประจำโดยทรัพยากรอยู่ในรูปของกระดาษ เห็นได้ว่าคอมพิวเตอร์ถูกพัฒนานำมาใช้งานตามสมรรถนะที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อมาเป็นการนำมาใช้พัฒนาเป็นระบบสารสนเทศในงานเฉพาะทางต่างๆ เช่น ระบบห้องสมุดมีการใช้คอมพิวเตอร์ในการทำบัตรรายการเป็นเครื่องมือช่วยค้นทรัพยากรสารสนเทศทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อโสตทัศนประเภทต่างๆ ระบบงานเอกสารสำนักงานปรับปรุงระบบการทำงานให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้นในช่วง ค.ศ.1970 จึงนำมาจัดเก็บข้อมูลซึ่งเป็นข้อมูลจากกระดาษ จัดเก็บในลักษณะแฟ้ มข้อมูล ต่อมา ได้เริ่มพัฒนาระบบจัดการฐานข้อมูล เพื่อเอื้อต่อการจัดการสารสนเทศได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และลดความซ้ำซ้อนขึ้นพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ในระยะหลังเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพิ่มสมรรถนะขึ้นอย่างมากมายตามยุคต่างๆ ในยุคหลังๆ จึงใช้ในงานที่สามารถหาเหตุผลด้วยวิธีการต่างๆ รวมทั้งเลียนแบบวิธีคิดของมนุษย์ช่วงค.ศ. 1980 เป็นต้นมาพัฒนาการคอมพิวเตอร์ก้าวหน้าขึ้น อาทิ ไมโครคอมพิวเตอร์แม้มีขนาดเล็กลงแต่มีสมรรถนะมากขึ้น มีการใช้คอมพิวเตอร์จัดการสารสนเทศในงานต่างๆ ทั้งการศึกษา การแพทย์ ธุรกิจ เป็นต้น โดยจัดทำระบบฐานข้อมูลช่วยงานด้านต่างๆทั้งการบริหาร การตัดสินใจที่ใช้ง่ายและดีกว่าเดิม ระบบสารสนเทศมุ่งตอบสนองทั้งความต้องการส่วนบุคคลของผู้ใช้ และการตอบสนองความต้องการในการทำงานตามหน้าที่ในองค์การมากขึ้น และเปลี่ยนจากเพิ่มประสิทธิผลไปสู่การใช้งานเชิงกลยุทธ์การใช้คอมพิวเตอร์ในระยะตั้งแต่ ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา การพัฒนาระบบเครือข่ายโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูล และการใช้อินเทอร์เน็ต ทำให้การจัดการระบบฐานข้อมูลผ่านระบบออนไลน์อย่างกว้างขวาง ขยายการทำงาน การบริการ การค้า ธุรกิจ การคมนาคม การแพทย์ เป็นต้น กระทำได้อย่างกว้างขวางในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือใช้สารสนเทศร่วมกัน สื่อสารสารสนเทศทั้งตัวอักษร ภาพ เสียงเพื่อการดำเนินงานระหว่างองค์การของทั้งหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน
ที่มา : http://0026008.blogspot.com/2012/08/5.html

4.จงยกตัวอย่างการจัดการสารสนเทศที่นิสิตใช้ในชีวิตประจำวันมา อย่างน้อย 3 ตัวอย่าง
     4.1 ใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ทั้งไฟล์งาน เพลง วิดีโอ เป็นต้น
     4.2 ใช้โทรศัพท์มือถือในการถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำในเวลาต่างๆของชีวิต
     4.3 บันทึกเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันลงในสมุดบันทึกส่วนตัว